สิงห์ เอสทเตท ผนึก”ฮ่องกง แลนด์”ผุดคอนโดฯลักชัวร์รี่ “ดิ เอส สุขุมวิท 36”
สิงห์ เอสเตท ระบุแผนปีหน้าเปิดใหม่ 3 โครงการ ระดับลักชัวร์รี่ มูลค่ารวม 1.5 หมื่นล้าน ล่าสุดผนึกพันธมิตร”ฮ่องกง แลนด์”ผุดโครงการ”ดิ เอส สุขุมวิท 36”มูลค่ากว่า 6,500 ล้าน
นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด(มหาชน) (S) เปิดเผยว่า แผนการลงทุนในปี 2561 บริษัทเตรียมแผนเปิดตัว 3 โครงการ มูลค่าโครงรวม. 1.2-1.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการ และบ้านเดี่ยว 1 โครงการ ซึ่งทั้ง 3 โครงการ บริษัทมีที่ดินพร้อมพัฒนาโครงการทั้งหมดแล้วและเป็นโครงการระดับลักซ์ชัวรี่ และ ซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีการพัฒนาแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ ดิ เอส อโศก และ โครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 85%
ล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวร์รี่โครงการที่ 3 “ดิ เอส สุขุมวิท 36 “ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุน กับ ฮ่องกง แลนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในเอเชีย นอกจากนี้ยังได้ว่าจ้างที่ปรึกษาระดับโลก”SOM”ดูแลด้านการออกแบบร่วมกับบริษัทออกแบบชั้นนำของไทย โดยมุ่งเน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าระดับบนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่ต้องการซื้อเพื่อพักอาศัยเองและซื้อเพื่อเป็นการลงทุน
สำหรับโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 เป็นคอนโดมิเนียม สูง 43 ชั้น จำนวน 338 ยูนิต มูลค่า 6,500 ล้านบาท พัฒนาภายใต้แนวคิด”A Harmony of Contast”หรือ”สมดุลแห่งความแตกต่าง”ในราคาขายเริ่มต้น 12 ล้านบาท ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในไตรมาสแรกปี 2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2563 ทั้งนี้บริษัทเตรียมจัดงานพรีเซลล์ในวันที่ 18-19 พ.ย.นี้ และบริษัทตั้งเป้าหมายปิดการขายในสิ้นปีนี้ได้ 50% หรือมียอดขาย 3,200-3,300 ล้านบาท และโครงการดังกล่าวจะมีกำหนดแล้วเสร็จแลขเริ่มทยอยโอนภายในปี2563
นายณัฐวุฒิ กล่าวต่อถึง ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาส 4 ต่อเนื่อวถึงต้นปี 2561 ยังมองว่าตลาดคอนโดมิเนียมยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียระดับ ลักซ์ชัวรี่ที่อยู่ใจกลางเมือง จากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว การเดินหน้าลงทุนโครงการของภาครัฐและการลงทุนของภาคเอกชนที่เริ่มเห็นมากขึ้น ส่งผลต่อความมั่นใจของผู้บริโภค และทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับบนปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ คือ สถานการณ์ของตลาดและความมั่นใจ ซึ่งปัจจุบันมีสัญญาณบวกที่ดีออกมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ พบว่าความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยระดับบนเพิ่มขึ้น โดนเฉพาะลูกค้าใหม่ ในขณะที่ซัพพลายด์ระับบนเฉลี่ยออกใหม่อยู่ที่ 8,000 ยูนิตต่อปี โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา มีจำนวนซัพพลายของโครงการคอนโดมิเนียมที่ออกมาใหม่อยู่ที่ 7,800 ยูนิต
บทความโดย PropDNA