เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เดินหน้าเปิดให้บริการตามแผน
พร้อมปรับแผนกลยุทธ์รับ New Normal
บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘SHR’ ในเครือของสิงห์ เอสเตท เผยรายได้จากการขายและการให้บริการในช่วงเก้าเดือน ปี 2563 ที่ 1,266 ล้านบาท ปรับตัวลดลงร้อยละ 52 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการประกาศหยุดทำการโรงแรมชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 โดยตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2563 บริษัทฯ ทยอยเปิดดำเนินการโรงแรมต่างๆ ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ที่แตกต่างกันของแต่ละประเทศ ภายหลังรัฐบาลหลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการปิดเมือง โดยในขณะนี้ โรงแรม 35 แห่ง จากทั้งหมด 39 แห่ง ภายใต้การบริหารของบริษัทฯ ได้กลับมาเปิดให้บริการแล้ว
นายเดิร์ก อังเดร ลีน่า คุยเบอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลประกอบการของ SHR งวด 9 เดือนของปี 2563 มีรายได้และผลกำไรที่ลดลง ซึ่งถูกกดดันจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศที่ยังเข้มงวด ท่ามกลางสถานการณ์ที่ท้าทายนี้ เรามุ่งเน้นการบริหารกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ และดำเนินกลยุทธ์ “Unlocking Model” ในไตรมาส 3 โดยเน้นการปรับแผนงานหลายด้าน ตั้งแต่การปรับอัตรากำลังคน การควบคุมต้นทุนให้เหมาะสมกับสภาพตลาด และการตลาด เพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปัจจุบันที่ยังคงพึ่งพิงตลาดภายในประเทศเป็นหลัก โดย SHR ตั้งเป้าที่จะขยายตลาดกลุ่มลูกค้าในประเทศและในภูมิภาค เพื่อรองรับโอกาสทางธุรกิจของตลาดที่มีศักยภาพฟื้นตัวในระยะใกล้ และเราคาดการณ์ว่าการผ่อนคลายมาตรการเดินทางระหว่างประเทศจะเริ่มมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้นในปลายไตรมาส 4 ถึงช่วงต้นปีหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจโรงแรม รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลับมาดำเนินการแบบเต็มรูปแบบมากขึ้น
กลยุทธ์การควบคุมต้นทุนและการปรับตัวทางตลาดเริ่มเห็นผลชัดเจนในบางโรงแรมของเรา ดังจะเห็นได้จากผลประกอบการโดยรวมมีแนวโน้มขาดทุนจากการดำเนินงานลดลงในไตรมาสที่ 3 ของปี และเราเชื่อว่าโรงแรมบางแห่งจะสามารถสร้างกำไรจากการดำเนินงานในช่วงปลายปี โดยเฉพาะโรงแรมในสาธารณรัฐมัลดีฟส์และประเทศไทยบางแห่ง ได้แก่ พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท ที่มียอดการจองล่วงหน้าดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนโรงแรมในสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐฟิจิ เริ่มมีความต้องการจากการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศที่ดีขึ้น โดยอัตราการเข้าพัก ณ เดือนกันยายน 2563 อยู่ที่ร้อยละ 40 และ 24 ตามลำดับ
ทั้งนี้บริษัทฯ ยังเดินหน้าเปิดให้บริการตามแผนควบคู่การปฏิบัติตามมาตรการด้านสุขอนามัยที่ปลอดภัยสูงสุด เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก และมาตรการด้านสาธารณสุขในแต่ละประเทศ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงยึดมั่นในมาตรฐานการให้บริการที่ดี ความใส่ใจในการดูแลลูกค้า ผู้มีส่วนได้เสีย ตลอดจนชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนของ SHR
เมื่อเร็วๆนี้ รีสอร์ท 3 แห่งของบริษัท ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยม โดย สันติบุรี เกาะสมุย (Santiburi Koh Samui) ได้รับการยอมรับจากแขกที่เข้าพักให้เป็นโรงแรมที่ชาวต่างชาติต้องการมาพักมากที่สุดบนเกาะ การันตีด้วยรางวัล TripAdvisor Travelers’ Choice “Best of the Best” Award 2020 และ Agoda’s 2020 Customer Review Awards พร้อมตอกย้ำนโยบายรักษ์โลกด้วยการลงนามปฏิญญาเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนของยูเนสโก (UNESCO Sustainable Tourism Pledge) ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ Expedia Group และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายการพัฒนาอย่างมีความรับผิดชอบ (SDGs) ของสหประชาชาติอีกด้วย ส่วนรีสอร์ท 2 แห่งในเครือที่ได้รับการยกย่องจากรางวัล Condé Nast Traveler Readers ’Choice Awards ประจำปี 2563 ได้แก่ “พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท” (Phi Phi Island Village Beach Resort) รีสอร์ทริมทะเลบนเกาะพีพี ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นรีสอร์ทที่ดีที่สุดอันดับที่ 6 ในประเทศไทย และ “ฮาร์ดร็อค โฮเทล มัลดีฟส์” (Hard Rock Hotel Maldives) รีสอร์ทระดับ 5 ดาวบนเกาะมัลดีฟส์ ได้รับการโหวตให้เป็นรีสอร์ทที่ดีที่สุดอันดับที่ 23 ในมหาสมุทรอินเดีย
นายเดิร์ก กล่าวทิ้งท้ายว่า “ท่ามกลางสถานการณ์การท่องเที่ยวที่ยังซบเซา เรายังคงไม่หยุดแสวงหาโอกาสในการขยายการลงทุนระยะยาว โดยยังคงเป้าหมายที่จะขยายพอร์ตการลงทุนของเราเป็นสองเท่าภายใน 5 ปี ผ่านการเติบโตแบบ Asset Light Model หรือการขยายผ่านรูปแบบรับบริหารจัดการทรัพย์สินให้บุคคลภายนอกภายใต้สัญญา Hotel Management Agreement (HMA) ซึ่งจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปี 2564”