วางกลยุทธ์ลงทุน Multi Asset ปี 67
แนะจับจังหวะตลาดผันผวน เทรดทำกำไรรอบสั้น
ตลาดคริปโทฯ คึกคัก ภายหลัง ก.ล.ต.สหรัฐฯ อนุมัติการจัดตั้ง Bitcoin ETF ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งในแรงขับเคลื่อนสำคัญทำให้ราคา Bitcoin มีโอกาสเป็นขาขึ้นได้ในปีนี้ แต่ระวังการปรับฐานในช่วงสั้น กลยุทธ์เทรดเล่นรอบขาขึ้น ส่วนทองคำและหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เทรดเล่นรอบ เพื่อเก็บกำไรจากอัพไซด์ที่ค่อนข้างจำกัด
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ กล่าวว่า ภายหลังจาก ก.ล.ต.สหรัฐฯ อนุมัติการจัดตั้ง Bitcoin Spot ETF ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลมีโอกาสเป็นสินทรัพย์ดาวเด่นอีกครั้งในปีนี้ จากการที่นักลงทุนสถาบันจะสามารถเข้ามาลงทุนใน Bitcoin ได้สะดวกขึ้น ส่งผลต่อมูลค่าราคาที่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ประกอบกับอีกสองปัจจัยหนุนสำคัญ คือนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายลงและการเกิด Bitcoin Halving เป็นแรงสนับสนุนราคา Bitcoin ได้อย่างดี
ที่ผ่านมาราคา Bitcoin ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากอาจเป็นเพราะตอบรับกับข่าวของ Bitcoin ETF ไปหมดแล้ว เมื่อมีการประกาศผลอย่างเป็นทางการทำให้ราคา Bitcoin ไม่สนองตอบเชิงบวกอีกมากนัก ราคา Bitcoin ในระยะสั้นจึงเคลื่อนไหวแบบ Sideway Up ในช่วงที่เหลือของเดือนมกราคมนี้ ก่อนจะเข้าสู่รอบการปรับฐาน ซึ่งมองเป็นโอกาสทยอยสะสมในระยะยาว
“ถ้าหาก Bitcoin ปรับฐาน คาดว่าแนวรับจะอยู่ที่ 38,000 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นเส้นค่าเฉลี่ย 100 วัน และอีกแนวรับที่ 32,000 ดอลลาร์ ใกล้เคียงกับเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน ถ้าหากรักษาระดับนี้ได้ Bitcoin ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ต่อ สามารถที่จะทยอยสะสมได้ตามแนวรับดังกล่าว ส่วนเป้าหมายในปีนี้มองว่าน่าจะขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่ 69,000 ดอลลาร์ ได้ก่อนที่จะสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ในปีหน้า”
สำหรับสินทรัพย์อื่นที่น่าสนใจในช่วงนี้ ต้องจับตาการประกาศผลประกอบการของบริษัทฯ ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่จะเริ่มทยอยเปิดออกมาในช่วงกลางเดือนมกราคม โดยช่วงปลายเดือนจะเป็นช่วงของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ 7 ตัว ที่เป็นตัวนำตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา สิ่งที่ต้องจับตา คือหากผลประกอบการยังเติบโตก็สามารถลงทุนได้ต่อ แต่ถ้าเริ่มที่จะไม่เติบโตอาจจะมีแรงเทขายเข้ามา เนื่องจากปีที่แล้วราคาหุ้นปรับตัวขึ้นค่อนข้างมาก ทั้งนี้ประเด็นที่กดดันหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Apple ที่ถูกนักวิเคราะห์ลดราคาเป้าหมายลงจากยอดขายไอโฟนที่ชะลอตัวลง รวมถึง Tesla ที่ถูกค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนแย่งตลาดมากขึ้น ขณะที่หุ้นเกี่ยวข้องกับเอไอ อย่าง Microsoft ,Alphabet และ Amazon อาจมีเรื่องของค่าใช้จ่ายด้านพัฒนาเอไอที่เข้ามากดดันกำไร
“ถ้าหากผลประกอบการหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ลดลง มีโอกาสที่จะเข้าสู่รอบการพักฐานระยะสั้น แต่ในระยะยาวหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังสามารถที่จะปรับตัวขึ้นได้ จึงใช้เป็นโอกาสที่จะทยอยเข้าสะสมได้ ภายใต้เงื่อนไขว่าราคาปรับตัวลดลงเกินกว่า 10% เท่านั้น ถ้าหากปรับตัวลงไม่มากจะเน้นแค่เก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น”
ทางด้านสินทรัพย์อื่น เช่น ทองคำมีโอกาสที่จะเข้าสู่รอบปรับฐาน เนื่องจากนักลงทุนเริ่มมองว่าโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคมนี้มีโอกาสน้อยลง รวมถึงการประกาศตัวเลข CPI เดือนธันวาคมที่ออกมาสูงกว่าคาดทำให้เป็นแรงกดดันต่อราคาทองคำที่จะถูกเทขายในช่วงสั้น
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะลดดอกเบี้ยสามครั้งในปีนี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ประกอบกับภาพใหญ่ของค่าเงินดอลลาร์ยังอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่า ราคาทองคำจึงน่าจะอยู่ในทิศทางขาขึ้นต่อไปได้ การที่ราคามีการปรับฐานลงมาในช่วงเดือนมกราคมนี้ ยังมองเป็นโอกาสที่จะเข้าไปเทรดเพื่อทำกำไรเป็นรอบได้ โดยแนวรับที่ระดับ 2,000 ดอลลาร์ ถือเป็นจุดซื้อที่น่าสนใจเชิงเทคนิค
ขณะที่สินทรัพย์ที่มีโอกาสเป็นขาขึ้นในปีนี้ไม่ว่าจะเป็นหุ้นเทคโนโลยีขนาดกลางของสหรัฐฯ รวมถึงหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีเอไอและรถยนต์ไฟฟ้า เดือนมกราคมยังเป็นโอกาสที่จะทยอยสะสมหุ้นกลุ่มนี้ได้ ตามกลยุทธ์เดิมที่มองว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และการเติบโตของเอไอยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ
ส่วนตลาดหุ้นจีนยังไม่เห็นโอกาสการฟื้นตัวอีกทั้งยังมีแรงกดดันจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวัน ซึ่งอาจเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสองประเทศที่จะกดดันตลาดหุ้นเอเชียทั้งหมด ทางด้านตลาดหุ้นไทยแม้ว่าจะยังไม่ลงมาทำจุดต่ำสุดใหม่ แต่ยังต้องจับตาว่าการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท รวมถึงภาคการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวกลับมาได้หรือไม่ ช่วงเวลานี้ จึงยังไม่ใช่โอกาสที่จะลงทุนในตลาดหุ้นจีนและไทย
“ภาพรวมการลงทุนเดือนมกราคมยังไม่มีปัจจัยลบใหม่เกิดขึ้น สถานการณ์ยังเป็นไปตามที่ได้คาดไว้ก่อนหน้านี้ ส่วนปัจจัยที่อาจเป็นตัวแปรสำคัญในเดือนนี้ คือการเลือกตั้งผู้นำไต้หวันที่อาจส่งผลต่อภาพรวมการลงทุนในภูมิภาคเอเชียทั้งหมด”