เจ.เอส.พี. โชว์รายได้ไตรมาส 2 โต 16% กวาดยอดรายได้รวมครึ่งปีแรก กว่า 2,257 ลบ.
พร้อมลุยเปิดเพิ่มอีก 5 โครงการ มูลค่ารวม 703 ลบ.
บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เผยผลงานไตรมาส 2/2561 ทำรายได้แตะ 1,212 ล้านบาท หรือโตเพิ่ม16% โดยกวาดยอดรายได้รวมครึ่งปีแรกแล้วกว่า 2,257 ล้านบาท พร้อมลุยเดินเครื่องธุรกิจครึ่งปีหลังเปิดใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวมราว 703 ล้านบาท มั่นใจยอดขายรวมสิ้นปีนี้ 6,800 ล้านบาท ตามนัด
นายลิขิต ลือสกุลกิจไพศาล ประธานคณะกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ.เอส.พี. พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP แจงผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2561 ของบริษัทว่า รายได้ทั้งหมดเท่ากับ 1,212 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีรายได้จากการขายอสังหาฯอยู่ที่ 1,176ล้านบาท มียอดโอนกรรมสิทธิ์ 626 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 140 ล้านบาท
“จากการเข้ามาบริหารงานพร้อมวางกลยุทธ์ใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้น ประกอบกับผลงานเริ่มต้นในช่วงครึ่งปีแรกนี้ ทำให้มั่นใจว่าบริษัทฯ จะก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคงแข็งแรง จากการกำหนดเป้าหมายธุรกิจระยะสั้น คือปีแรกจะปรับฐานให้มีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้น ส่วนเป้าหมายในระยะ 3 ปี ก็จะสร้างอัตราการเติบโตให้บริษัทไม่ต่ำกว่า 25-30% ซึ่งสำหรับในปี 2561 ตั้งเป้ายอดขายรวมสิ้นปีนี้ 6,800 ล้านบาท โดยเน้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบเป็นหลักเพื่อชิงผู้นำตลาดบ้านแนวราบ ราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท”
ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 703 ล้านบาท ได้แก่ โครงการเจซิตี้ ติวานนท์-บางกะดี บ้านเดี่ยว-บ้านแฝด จำนวนรวม 79 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 3.6 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าโครงการ 316 ล้านบาท, อาคารพาณิชย์ 1 ทำเล คือ โครงการเจซิตี้ รัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง มูลค่าโครงการ 70 ล้านบาท และโครงการเจอเวนิวรัตนาธิเบศร์-บางบัวทอง มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท ส่วนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้แก่ โซนบางปะกง-บ้านโพธิ์ คือ โครงการเจ ทาวน์ เอ็กซ์คลูซีฟ ที่เป็นทาวน์เฮาส์ มูลค่าโครงการ 117 ล้านบาท รวมทั้งอาคารพาณิชย์ที่โครงการเจซิตี้ ศรีราชา-อัสสัมชัญ มูลค่าโครงการ 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าใกล้จะแล้วเสร็จและสามารถเปิดตัวได้ในช่วงปลายปีนี้
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ของปี 2561 นี้น่าจะกลับมาสดใสมากขึ้น เนื่องจากผ่านความผันผวนจากช่วงครึ่งปีแรกมาแล้ว อีกทั้งเศรษฐกิจโดยรวมขยายตัวได้ดีขึ้นและคาดว่าทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจน่าจะเพิ่มขึ้นถึง 4% เนื่องจากความต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยหรือการซื้อเพื่อการลงทุนยังโตต่อเนื่อง นายลิขิตกล่าวสรุป