6 เหตุผลที่คุณไม่ควรพลาดลงทุนในกองทุนรวม และทรัสต์อสังหาฯ (Property Fund & REIT)

  1. เงินลงทุนเริ่มต้นไม่สูง

ผู้ลงทุนสามารถเริ่มต้นลงทุนในกองทุนและทรัสต์อสังหาฯ ด้วยเงินเริ่มต้นเพียง 1,000 บาท เท่านั้น จากจำนวนหน่วยลงทุนที่ซื้อขั้นต่ำในกระดานหลักของตลาดหลักทรัพย์ฯ เท่ากับ 100 หน่วย และราคาหน่วยเริ่มต้น เท่ากับ 10 บาท/หน่วย ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์รูปแบบอื่นต้องใช้เงินลงทุนที่สูงกว่ามาก เช่น ต้องใช้เงินหลักล้านในการซื้ออาคารพาณิชย์หรือคอนโดมิเนียมเพื่อมาปล่อยเช่า หรือต้องใช้เงินหลักหมื่นสำหรับเงินจองและทำสัญญาเพื่อเก็งกำไรในการขายใบจองคอนโดมิเนียม

  1. ซื้อง่ายขายคล่อง

กองทุนและทรัสต์อสังหาฯ สามารถซื้อ-ขาย ได้ทุกวัน ในช่วงเวลาทำการของตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยแบ่งเวลาซื้อขายเป็นสองช่วงดังนี้

ช่วงเช้า   : เปิดระหว่าง 09.55 – 10.00 ถึง 12.30
ช่วงบ่าย  : เปิดระหว่าง 14.25 – 14.30 ถึง 16.35 – 16.40

โดยที่ผู้ลงทุนสามารถสามารถซื้อ-ขายหน่วยได้ง่ายผ่านทั้งเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่น หรือโทรหานายหน้าหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) เพื่อทำคำสั่งซื้อขายหน่วย ซึ่งมีความสะดวกมากกว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป ที่การซื้อขายต้องมีขั้นตอนการทำสัญญาซื้อขาย และต้องเตรียมเอกสารเพื่อไปทำธุรกรรมที่สำนักงานที่ดิน

  1. ได้รับเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ

กองทุนและทรัสต์อสังหาฯ มีรายได้หลักจากค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งการเช่าปกติจะมีการทำสัญญาเช่ากับผู้เช่า 1 – 3 ปี แล้วแต่ประเภทอสังหาริมทรัพย์ ทำให้กองมีรายได้ที่ค่อนข้างสม่ำเสมอในการจ่ายเงินปันผลในแต่ละรอบที่โดยมากจะจ่ายทุกๆ ไตรมาส อีกทั้งหลักเกณฑ์กำหนดให้กองทุนและทรัสต์อสังหาฯ ต้องจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิ ทำให้กองมักจะจ่ายเงินปันผลจากกำไรที่เหลือให้กับผู้ถือหน่วยเกือบทั้งหมด

  1. มีผู้บริหารจัดการมืออาชีพ

กองทุนและทรัสต์อสังหาฯ มีผู้บริหารทรัพย์สิน (Property Manager) ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูงในอสังหาริมทรัพย์แต่ละประเภท เช่น บมจ. เซ็นทรัล สำหรับห้างสรรพสินค้าและพื้นที่ค้าปลีก, บมจ. ดุสิตธานี สำหรับโรงแรม, กลุ่มภิรัชบุรี สำหรับอาคารสำนักงาน, บมจ. ดับบลิวเอชเอ และบมจ. ไทคอน สำหรับโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า และ บมจ. การบินกรุงเทพ สำหรับสนามบิน เป็นต้น ซึ่งการมีผู้บริหารทรัพย์สินที่ดีช่วยให้มีโอกาสปรับเพิ่มค่าเช่าและบริหารค่าใช้จ่ายได้ อีกทั้งกองมีผู้บริหารจัดการกองทุน/ทรัสต์ (Fund/REIT Manager) มืออาชีพ ซึ่งได้รับอนุมัติจากสำนักงาน กลต. ในการติดตามการบริหารจัดการของผู้บริหารทรัพย์สินและบริหารจัดการด้านการเงินให้กับกองอีกด้วย

  1. มีโอกาสที่จะได้กำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้น

ค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อที่มักจะเพิ่มขึ้นในแต่ละปี ซึ่งค่าเช่าที่มีการปรับเพิ่มจะขึ้นกับสภาวะตลาดของอสังหาริมทรัพย์แต่ละประเภทและ ทำเลที่ตั้งที่แตกต่างกัน โดยค่าเช่าที่ปรับเพิ่มขึ้นจะทำให้กองทุนและทรัสต์อสังหาฯ มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ลงทุนได้สูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ราคาหน่วยลงทุนที่มีการซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับเพิ่มขึ้นได้

  1. มีทรัพย์สินให้เลือกลงทุนหลายประเภท

กองทุนและทรัสต์อสังหาฯ ที่มีการจดทะเบียนและซื้อ-ขาย ในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น โรงงานและคลังสินค้าให้เช่า, ศูนย์การค้า, อาคารสำนักงาน, อพาร์ทเม้นต์, โรงแรม รวมถึงทรัพย์สินที่มีความเฉพาะทาง เช่น สนามบิน, ศูนย์ข้อมูล (Data Centre), ตลาดกลางซื้อขายสินค้าเกษตร และศูนย์แสดงสินค้า เป็นต้น ซึ่งหากเป็นช่วงที่อสังหาริมทรัพย์บางประเภทมีแนวโน้มตลาดที่ไม่ดี ผู้ลงทุนก็มีทางเลือกโดยเปลี่ยนมาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นได้ หรือผู้ลงทุนอาจกระจายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภท ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อผลตอบแทนการลงทุนโดยรวมได้ (Portfolio Diversification)

==========

‘โค้ชกล้วย’ ดร.ณัฐกวิน เจียมโชติพัฒนกุล วิทยากรสอนด้าน การลงทุนกองทุนอสังหาฯ

P.R.A. Academy (Professional Real Estate Academy)

ผู้จัดการกองทุนอสังหาริมทรัพย์