ย้อนกลับไปเมื่อปี 2542 ประเทศไทยได้มีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้า 2 สายแรกของประเทศ ได้แก่ สายสุขุมวิท (สถานีหมอชิต-สถานีอ่อนนุช) และสายสีลม (สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ-สถานีสะพานตากสิน) ปัจจุบันรถไฟฟ้าทั้ง 2 สายได้เปรียบเสมือน Backbone ของคนกรุงเทพฯในการใช้เดินทางสัญจร โดยสายที่ได้รับความนิยมและพบความเปลี่ยนแปลงมากที่สุดคือ สายสุขุมวิท ซึ่งเชื่อมต่อพื้นที่กรุงเทพฯ ฝั่งเหนือ (จตุจักร) กรุงเทพชั้นใน และฝั่งตะวันออก (แบริ่ง) เข้าด้วยกัน
โดยสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ การปรับเปลี่ยนสีผังเมือง ให้สอดคล้องกับการพัฒนาของเมือง ด้วยการปรับให้พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สีน้ำตาล (ที่อยู่อาศัยหนาแน่นมาก) และสีแดง (พาณิชยกรรม) เป็นบางช่วง ทำให้พื้นที่โซนนี้มีศักยภาพต่อการพัฒนาในอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับขนาดที่ดิน ซึ่งสามารถพัฒนาได้ทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูง รวมไปถึงเพื่อการพาณิชย์ โรงแรมและสำนักงาน เป็นต้น
นอกจากนี้การปรับเปลี่ยนสีผังเมือง ยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ดินอีกด้วย ต่อเรื่องนี้ นายอภิภู พรหมโยธี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด ซึ่งพัฒนาโครงการ “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” (Na Veera Phahol-Ari) คอนโด Low rise 8 ชั้น ที่มีมูลค่าโครงการ 240 ล้านบาท โดยตัวโครงการตั้งอยู่ห่างจากปากซอยพหลโยธิน 14 ในระยะไม่เกิน 200 เมตร ได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า จากข้อมูลการสำรวจของบริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ พบว่า ปัจจุบันราคาเสนอขายที่ดินแนวเส้นบีทีเอสย่านอารีย์-พหลโยธินมีช่วงราคาที่แตกต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ช่วงราคา ดังนี้ 1. ตั้งแต่สถานีบีทีเอสอนุสาวรีย์ฯจนถึงอารีย์ราคาเสนอขายที่ดินอยู่ที่ตารางวาละ 1,200,000 – 1,500,000 บาท ซึ่งเป็นช่วงที่มีราคาเสนอขายสูงสุด 2. เส้นพหลโยธินซอยย่อยฝั่งเลขคี่ ราคาอยู่ที่ตารางวาละ 600,000 – 800,000 บาท และ 3. เส้นพหลโยธินซอยย่อยฝั่งเลขคู่ ราคาอยู่ที่ตารางวาละ 300,000 – 500,000 บาท ซึ่งเป็นทำเลที่มีราคาต่ำสุดเมื่อเปรียบเทียบกับทำเลอื่นในย่านนี้
ในขณะที่ทำเลไม่ได้มีความแตกต่างจากพื้นที่ใกล้เคียงมากนัก ใกล้สถานีบีทีเอส,สำนักงาน, และสาธารณูปโภคอื่นๆ อีกทั้งยังมีความสงบเหมาะกับการอยู่อาศัยมากกว่า ที่สำคัญยังมีข้อได้เปรียบทางด้านราคาในการพัฒนาที่ดินจึงสามารถพัฒนาโครงการให้มีราคาที่จับต้องได้ โดยคอนโดมิเนียมในทำเลนี้มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 125,000 บาทต่อตารางเมตร ในขณะคอนโดมิเนียมบริเวณซอยย่อยในทำเลอารีย์และบนถนนพหลโยธินในทำเลจตุจักรมีราคาเฉลี่ยสูงกว่า ราคาต่อตารางเมตรอยู่ที่ 154,000 บาท และ 166,000 บาท ตามลำดับ
แม้หลายคนจะมองว่าราคาขายคอนโดมิเนียมในย่านดังกล่าว ยังต่ำกว่าคอนโดมิเนียมในย่านธุรกิจอย่าง สีลม สาธร แต่ในอนาคต ในย่านนี้กำลังจะกลายเป็นพื้นที่ New CBD เพราะนอกจากจะที่ตั้งของอาคารสำนักงานเอกชนและสถานที่สำคัญทางราชการอย่าง ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงค์), ธนาคารออมสิน (สำนักงานใหญ่), สำนักงาน กสทช., ธนาคารกสิกรสำนักงานใหญ่, เอไอเอส ทาวเวอร์ เป็นต้น ยังมีอาคารสำนักงาน เกรด A แห่งใหม่บนถนนพหลโยธินอีก 3 อาคารที่เพิ่งเปิดใช้งาน ได้แก่ 1. Pearl Bangkok อาคารสูง 25 ชั้น 2. Ari Hill อาคารมิกส์ยูส สูง 34 ชั้น ที่มีทั้งอาคารออฟฟิศ ร้านค้า และโรงแรม 3.SC Tower อาคารสูง 24 ชั้น รวมพื้นที่เช่ากว่า 83,000 ตร.ม. และคาดการณ์ว่าจะมีผู้ทำงานในทั้ง 3 อาคารนี้กว่า 6,000 คน และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะมีโครงการอื่นๆเข้าสู่ตลาดอีกจำนวนมากอาทิ โครงการ The Rice อาคารมิกส์ยูส สูง 24 ชั้น โรงพยาบาลวิมุตติ ในเครือพฤกษา อาคารวานิช เพลส ของกลุ่มแหลมทองสหการซึ่งประกอบด้วยสำนักงานและคอมมูนิตี้ มอลล์
“การเพิ่มขึ้นของจำนวนอาคารสำนักงาน คอมมูนิตี้มอลล์ และโครงการอื่นๆ รวมทั้งในอนาคตจะมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2563 เข้ามาช่วยเสริมศักยภาพให้กับพื้นที่ ปัจจัยต่างๆเหล่านี้บ่งบอกได้ว่าในอนาคตจะมีแรงงานจำนวนมากเข้าสู่พื้นที่ นำมาซึ่งความต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อการทำงานและใช้ชีวิต ส่งผลให้ราคาที่ดินที่อาจจะปรับเพิ่มสูงขึ้นอีกถึง 15-20% ต่อตารางวา ขณะที่ราคาขายคอนโดมิเนียมก็จะไม่ได้อยู่แค่ราคาแสนกว่าบาทอย่างแน่นอน”นายอภิภู กล่าว
สำหรับโครงการ ณ วีรา พหลฯ-อารีย์ ถูกออกแบบภายใต้คำว่า คลาสสิค ทวิสต์ (Classic Twist) โดยนำรูปแบบสถาปัตยกรรมของย่านที่อยู่อาศัยในแถบยุโรปมาผสมผสานกับความทันสมัย โดยมีราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.เพียง 110,000 บาทต่อตร.ม. หรือราคาขายต่อยูนิตเริ่มต้นที่ 2.49 ล้านบาท ประกอบด้วยห้องพักทั้งแบบ 1 ห้องนอน และ 1 ห้องนอนพิเศษ ขนาดตั้งแต่ 23.13 -33.55 ตร.ม. โดยออกแบบให้การใช้งานภายในห้องมีความหลากหลาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อิสระของกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียล พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส Co-working space รถรับ-ส่งสถานีรถไฟฟ้า เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 1/2562 ก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1/2563 กำลังจะเปิดขายครั้งแรกอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ธันวาคม 2561 นี้
นายอภิภู กล่าวเพิ่มเติมว่า เรามุ่งจับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ วัยทำงานที่มีไลฟ์สไตล์เป็นของตัวเอง ชื่นชอบการใช้ชีวิตอิสระไม่ได้ละเลยในเรื่องของรายละเอียดการใช้ชีวิตและการวางอนาคตให้กับตัวเอง แต่ก็ยังให้ความสำคัญกับคุณภาพและความคุ้มค่ามาเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งที่โครงการ ณ วีรา สามารถตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ได้ดีที่สุด ดังนั้นจึงถือได้ว่ามีความคุ้มค่าอย่างยิ่งไม่ว่าจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง หรือซื้อเก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานก็จะยิ่งทวีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต