ไนท์แฟรงค์ประเทศไทยเผยแนวโน้มตลาดวิลล่าและตลาดคอนโดฯ ในภูเก็ต
นายณัฏฐา คหาปนะ กรรมการบริหาร บริษัท ไนท์แฟรงค์ ภูเก็ต จำกัด กล่าวว่า “ตลาดอสังหาฯภูเก็ตระดับไฮเอนด์ในปี 2562 ค่อนข้างชบเซาและมีการพัฒนาโครงการน้อยลงทั้งในตลาดคอนโดฯและตลาดวิลล่า เนื่องจากนักพัฒนาอสังหาฯ เฝ้าดูสถานการณ์ของตลาด นอกจากนี้ผลลัพธ์ของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นส่งผลให้ชาวต่างชาติที่เป็นเจ้าของอสังหาฯระดับหรูที่ต้องการขายทรัพย์สินต้องปรับตัวตามทิศทางตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลง โดยการคิดอย่างรอบคอบมากขึ้นและรออัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าที่จะขายได้ และบางรายปรับตัวโดยการปล่อยเช่าบ้านพักตากอากาศของตนในตลาดวิลล่าระดับมิดเอ็นด์และไฮเอ็นด์”
“แม้ว่าตลาดจะชะลอตัวลง ตลาดวิลล่าในระดับราคาช่วงต้นและกลางที่มีขนาดตั้งแต่ 2 – 3 ห้องนอนในช่วงราคา 10 – 19 ล้านบาทมีความเคลื่อนไหวมากที่สุด ซึ่งเป็นทรัพย์สินเพื่อการลงทุนที่รับประกันผลตอบแทนค่าเช่า โดยกลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นชาวจีน, ฮ่องกง, สิงคโปร์, และยุโรปที่อาศัยอยู่ในเอเชียแปซิฟิก”
นายณัฏฐา กล่าวเสริมว่า “ในส่วนของตลาดคอนโดฯ พบว่าคอนโดฯเพื่อการลงทุนในระดับมิดเอ็นด์ที่บริหารโดยเครือโรงแรมที่มีชื่อเสียงนั้นมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างมาก ในด้านตลาดคอนโดฯเพื่อการลงทุนช่วงต้นที่มีราคาอยู่ที่ 3 – 7 ล้านบาทต่อยูนิต หรือ 90,000 – 120,000 บาทต่อตารางเมตร มีการเติบโตสูงขึ้นในปีนี้ กลุ่มตลาดนี้ไม่มีกระทบมากนักเนื่องจากมีราคาที่ไม่สูง นอกจากนี้จำนวนนักท่องเที่ยวที่มีเพิ่มขึ้นทุกๆปี ทำให้เกิดโครงการคอนโดเทล (Condotel) ใหม่หลายแห่งเริ่มทยอยเปิดตัวในช่วง 2 – 3 ปีนี้ ซึ่งสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนที่มีศักยภาพได้ว่าภูเก็ตยังคงเป็นหนึ่งในสถานที่พักผ่อนที่ดีที่สุดเป็นที่ที่เหมาะสมสำหรับการลงทุน”
อย่างไรก็ตาม หลายโครงการคอนโดฯ ที่ร่วมทุนกันระหว่างนักลงทุนไทยและจีนที่เปิดตัวในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมากระตุ้นและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อชาวจีน โดยคิดเป็น 30-50% ของยอดขายรวม”
“ในปี 2563 เราคาดว่าตลาดวิลล่าระดับราคาช่วงต้นถึงกลางและตลาดคอนโดฯระดับราคาช่วงต้นจะเติบโตขึ้นประมาณ 10 – 15% เทียบปีต่อปี และ 15 – 20% เทียบปีต่อปีตามลำดับ อีกทั้งในปีหน้านี้จะเป็นปีที่ท้าทายสำหรับนักพัฒนาอสังหาฯ ในการทำความเข้าใจตลาดและสิ่งที่ผู้ซื้อต้องการ ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ตั้ง ราคาขาย รูปแบบโครงการ และผู้บริหารโครงการ รวมทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ”
นายณัฏฐา คหาปนะ กรรมการบริหาร บริษัท ไนท์แฟรงค์ ภูเก็ต จำกัด กล่าวว่า “ตลาดอสังหาฯภูเก็ตระดับไฮเอนด์ในปี 2562 ค่อนข้างชบเซาและมีการพัฒนาโครงการน้อยลงทั้งในตลาดคอนโดฯและตลาดวิลล่า เนื่องจากนักพัฒนาอสังหาฯ เฝ้าดูสถานการณ์ของตลาด นอกจากนี้ผลลัพธ์ของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นส่งผลให้ชาวต่างชาติที่เป็นเจ้าของอสังหาฯระดับหรูที่ต้องการขายทรัพย์สินต้องปรับตัวตามทิศทางตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลง โดยการคิดอย่างรอบคอบมากขึ้นและรออัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าที่จะขายได้ และบางรายปรับตัวโดยการปล่อยเช่าบ้านพักตากอากาศของตนในตลาดวิลล่าระดับมิดเอ็นด์และไฮเอ็นด์”
“แม้ว่าตลาดจะชะลอตัวลง ตลาดวิลล่าในระดับราคาช่วงต้นและกลางที่มีขนาดตั้งแต่ 2 – 3 ห้องนอนในช่วงราคา 10 – 19 ล้านบาทมีความเคลื่อนไหวมากที่สุด ซึ่งเป็นทรัพย์สินเพื่อการลงทุนที่รับประกันผลตอบแทนค่าเช่า โดยกลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นชาวจีน, ฮ่องกง, สิงคโปร์, และยุโรปที่อาศัยอยู่ในเอเชียแปซิฟิก”
นายณัฏฐา กล่าวเสริมว่า “ในส่วนของตลาดคอนโดฯ พบว่าคอนโดฯเพื่อการลงทุนในระดับมิดเอ็นด์ที่บริหารโดยเครือโรงแรมที่มีชื่อเสียงนั้นมีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างมาก ในด้านตลาดคอนโดฯเพื่อการลงทุนช่วงต้นที่มีราคาอยู่ที่ 3 – 7 ล้านบาทต่อยูนิต หรือ 90,000 – 120,000 บาทต่อตารางเมตร มีการเติบโตสูงขึ้นในปีนี้ กลุ่มตลาดนี้ไม่มีกระทบมากนักเนื่องจากมีราคาที่ไม่สูง นอกจากนี้จำนวนนักท่องเที่ยวที่มีเพิ่มขึ้นทุกๆปี ทำให้เกิดโครงการคอนโดเทล (Condotel) ใหม่หลายแห่งเริ่มทยอยเปิดตัวในช่วง 2 – 3 ปีนี้ ซึ่งสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนที่มีศักยภาพได้ว่าภูเก็ตยังคงเป็นหนึ่งในสถานที่พักผ่อนที่ดีที่สุดเป็นที่ที่เหมาะสมสำหรับการลงทุน”
อย่างไรก็ตาม หลายโครงการคอนโดฯ ที่ร่วมทุนกันระหว่างนักลงทุนไทยและจีนที่เปิดตัวในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมากระตุ้นและมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อชาวจีน โดยคิดเป็น 30-50% ของยอดขายรวม”
“ในปี 2563 เราคาดว่าตลาดวิลล่าระดับราคาช่วงต้นถึงกลางและตลาดคอนโดฯระดับราคาช่วงต้นจะเติบโตขึ้นประมาณ 10 – 15% เทียบปีต่อปี และ 15 – 20% เทียบปีต่อปีตามลำดับ อีกทั้งในปีหน้านี้จะเป็นปีที่ท้าทายสำหรับนักพัฒนาอสังหาฯ ในการทำความเข้าใจตลาดและสิ่งที่ผู้ซื้อต้องการ ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ตั้ง ราคาขาย รูปแบบโครงการ และผู้บริหารโครงการ รวมทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศที่ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ”