เทรนด์การอยู่อาศัยยุค 4.0
สู่ “Digital Home – Home Sharing”
วันนี้ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดงานสัมมานาวิชาการประจำปี 2560″อสังหาริมทรัพย์ยุคดิจิทัล Moving to Real Estate in Digital Er
นายสุรชัย ดนัยตั้งตระกูล ประธานกรรมการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ในยุคดิจิทัล ข้อมูลในส่วนของบิ๊กดาต้า ซึ่งเป็นสารสนเทศขนาดใหญ่ จึงมีความสำคัญอย่างมากกับผู้ประกอบการ และผู้บริโภค โดยในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีความจำเป็นที่ต้องใช้บิ๊กดาต้า เป็นปัจจัยพื้นฐาน เพื่อวางยุทธศาสตร์ช่วยในการพัฒนาโครงการให้มีประสิทธิภาพ ช่วยให้บริษัทสามารถวิเคราะห์ความพึงพอใจของลูกค้า และนำไปสู่การใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้”บิ๊ก ดาต้า”ยังเป็นการเชื่อมต่อข้อมูลของผู้ประกอบการและสถาบันการเงิน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการเชื่อมโยงระหว่าง”ฟินเทค”ซึ่งเป็นระบบเทคโนโลยีทางด้านการเงิน และ “พร็อพเทค”เป็นระบบเทคโนโลยีเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่ผ่านมา การประมาณการความต้องการที่อยู่อาศัยของหน่วยงานต่างๆ มักจะใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลและการสร้างแบบจำลองเพื่อพยากรณ์ทางสถิติ ซึ่งจะทำให้เห็นภาพรวมของความต้องการที่อยู่อาศัย จากการอนุมานตามกลุ่มตัวอย่างการศึกษา
เทรนด์การอยู่อาศัยยุค 4.0 เป็นสมาร์ทโฮม
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เทคโนโลยีต่างๆ ที่จะเข้าสู่ตลาดในอนาคตจะทำให้พฤติกรรมการอยู่อาศัยของผู้คนเปลี่ยนแปลงไป โดยเทรนด์การอยู่อาศัยในอนาคตจะมีอยู่ 3 อย่างด้วยกัน เทรนด์แรกคือ บ้านในอนาคตนั้นจะมีลักษณะเป็น Digital Home หรือ Smart Home มากขึ้น ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่บ้านในอนาคตมีลักษณะเป็นบ้านดิจิทัลหรือบ้านอัจฉริยะมากขึ้นนั้น ก็เนื่องจากเทรนด์เรื่อง Digital Transformation ที่เข้ามาทำให้อุปกรณ์ต่างๆ มีการเชื่อมต่อกับระบบการสื่อสารไร้สายและเครือข่ายอินเตอร์เน็ตมากขึ้น อีกทั้ง Internet of Things หรือ IOTจะทำให้เครื่องใช้ต่างๆ ภายในบ้านสามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายการสื่อสารและคุยกันเองได้มากขึ้น เราสามารถกำหนดความต้องการในการอยู่อาศัยผ่านการกำหนดค่าต่างๆ ได้ตามใจชอบ อีกทั้งอุปกรณ์ต่างๆ ก็มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในบ้านที่แปรเปลี่ยนไปจากระบบ censor ต่างๆ และการควบคุมด้วย AI ที่ทำให้อุปกรณ์เหล่านั้นเรียนรู้พฤติกรรมผู้อยู่อาศัยได้ด้วย
ฉะนั้นแล้วเราจึงสามารถสรุปได้ว่าบ้านในอนาคตที่จะมีคุณสมบัติที่สำคัญ 2 ประการ
ประการแรก คือบ้านในอนาคตจะมีความสะดวกสบายต่างๆ มากขึ้น ประการที่ 2 บ้านในอนาคตจะช่วยให้เกิดความปลอดภัยในการอยู่อาศัยมากขึ้น และประการสุดท้าย บ้านในอนาคตจะช่วยให้เราประหยัดพลังงานได้มากขึ้น ทั้งนี้ก็เนื่องจากอุปกรณ์และเครื่องใช้ภายในบ้านจะมีระบบประมวลผลข้อมูลแบบ Real-Time และสามารถคุยกับเราได้แม้เราอยู่นอกบ้าน หากเกิดกรณีที่เด็กในบ้านอยู่ในจุดที่เสี่ยงก็จะมีการเตือนโดยอัตโนมัติให้เราทราบ ขณะเดียวกันระบบ censor ต่างๆ ก็จะช่วยปรับการใช้งานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้เราประหยัดค่าไฟได้ด้วย
เทรนด์ที่ 2 ของการอยู่อาศัยในอนาคตคือเรื่องของ Home Sharing ไม่เพียงแต่เครื่องใช้ในบ้านที่เทคโนโลยีดิจิทัลจะเข้ามาช่วยจัดการให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดเท่านั้น แต่เครือข่ายสังคมออนไลน์และ app ต่างๆ เช่น Airbnb ยังช่วยให้เราบริหารพื้นที่ว่างในบ้านได้มีประสิทธิภาพด้วย
ในอนาคตคนมีแนวโน้มที่จะหาประโยชน์จากพื้นที่ว่างในบ้านผ่านการแบ่งปันพื้นที่ผ่าน app อย่าง Airbnbซึ่งช่วย match ตัวพื้นที่ปล่อยเช่าและผู้เช่าที่มีความต้องการตรงกันได้ ต่างจากเมื่อก่อนที่เมื่อคนไม่อยู่บ้านหรือห้องพัก การใช้ประโยชน์ต่างๆ ไม่เกิดขึ้นเลย
เทรนด์ข้อสุดท้ายของการอยู่อาศัยในอนาคต คือ ผู้คนจะเน้นเรื่องการประหยัดพลังงานมากขึ้น บ้านในอนาคตจะมีตัวเลือกมากมายในการประหยัดพลังงานไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น, การติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อผลิตไฟฟ้าเองจากแสงอาทิตย์ รวมทั้งการออกแบบ “บ้านเย็น” ที่จะช่วยลดอุณหภูมิภายในบ้านลงและช่วยให้เราประหยัดค่าไฟทางอ้อมจากการใช้แอร์ที่ลดลงด้วยอีกทาง
โดยสรุปแล้ว เทรนด์การอยู่อาศัยในอนาคตนั้นจะมุ่งไปที่การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อสร้างคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดีขึ้นซึ่งมีทั้งความสะดวกสบายที่มากขึ้น ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน มีความมั่นคงปลอดภัย และการใช้ทรัพยากรต่างๆ ภายในบ้านเกิดประโยชน์สูงสุดด้วย