เอเชียแปซิฟิกมีการลงทุนของธุรกิจสตาร์ทอัพในกลุ่ม Proptech มูลค่าสูงสุดในโลก
ภาคอสังหาริมทรัพย์จะได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีต่างๆ ที่พัฒนาขึ้น
รายงานจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เปิดเผยว่า เอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีธุรกิจสตาร์ทอัพในกลุ่มเทคโนโลยีทางด้านอสังหาริมทรัพย์ หรือ Proptech (Property Technology) มีการลงทุนมากที่สุดในโลก แซงหน้ายุโรปและสหรัฐฯ โดยพบว่า นับตั้งแต่ปี 2556เป็นต้นมา บริษัทสตาร์ทอัพในกลุ่มพร็อพเทค 179 บริษัทของเอเชียแปซิฟิก มีการลงทุนไปแล้วรวมมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนกว่า60% ของเม็ดเงินทั้งหมดที่มีการลงทุนไปในพร็อพเทคทั่วโลก
รายงานฉบับดังกล่าวจัดทำขึ้นโดยเจแอลแอล ด้วยความร่วมมือกับ Tech In Asia ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนที่จัดทำเว็บไซต์นำเสนอข่าวสาร จัดกิจกรรม และเป็นสื่อกลางการหางานหรือพนักงาน สำหรับแวดวงเทคโนโลยีและธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยได้วิเคราะห์ศักยภาพการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพในกลุ่มเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ใน13 เมืองหลักของประเทศในเอเชียแปซิฟิก ทั้งนี้ ในรายงานดังกล่าวมีการประเมินว่า การลงทุนในพร็อพเทคในเอเชียแปซิฟิกจะพุ่งสูงขึ้นเป็น 4.5 พันล้านดอลลาร์ต่อปีในปี ค.ศ. 2020
พร็อพเทค (Proptech) เกิดจากการประสมคำสองคำคือ Property และ Technology ซึ่งหมายถึงการประยุกต์ใช้เทคโลโลยีเข้ามาแก้ปัญหาหรือความท้าท้ายต่างๆ ที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
นายแอนโทนี เคาส์ ซีอีโอภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก เจแอลแอล กล่าวว่า “การที่เทคโนโลยีและอสังหาริมทรัพย์กำลังมาบรรจบกันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น ซึ่งเทคโนโลยีหลายๆ ด้าน อาทิ การวิเคราะห์ข้อมูล ปัญญาประดิษฐ์ (A.I.) การสร้างภาพเสมือนจริง และระบบโครงข่ายในการเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์ (blockchain) มีศักยภาพที่จะเข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญต่อรูปแบบการลงทุนและใช้ประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์ในอนาคตอันใกล้”
“รายงานที่เราจัดทำขึ้น เผยให้เห็นว่า สตาร์ทอัพในกลุ่มพร็อพเทคมีศักยภาพเติบโตสูงในภูมิภาคนี้ การที่เอเชียแปซิฟิกมีประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก มีการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว มีการใช้และพึ่งพาโทรศัพท์มือถืออย่างมากและแพร่หลาย ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจแขนงใหม่นี้เติบโต ซึ่งภาคอสังหาริมทรัพย์จะได้ประโยชน์ เนื่องจากการขยายตัวของภาคธุรกิจพร็อพเทค หมายถึงจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ มากขึ้นที่จะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของอสังหาริมทรัพย์และสร้างประสบการณ์ที่ดีมากขึ้นสำหรับผู้ใช้ประโยชน์ในอสังหาริมทรัพย์ด้วย” นายเคาส์กล่าว
รายงานของเจแอลแอลยังเปิดเผยด้วยว่า จีนและอินเดีย เป็นตลาดใหญ่ที่สุดในเอเชียแปซิฟิกสำหรับบริษัทสตาร์ทอัพในกลุ่มพร็อพเทค ทั้งในแง่ของเม็ดเงินลงทุนและจำนวนบริษัทที่เปิดธุรกิจ โดยมีการลงทุนในจีนสูงสุดคือ 3.2 พันล้านดอลลาร์ หรือราว 60% ของเม็ดเงินลงทุนทั้งหมดในภูมิภาค รองลงมาคืออินเดียด้วยมูลค่าการลงทุน928 ล้านดอลลาร์
เม็ดเงินลงทุนในพร็อพเทค
- จีน (รวมฮ่องกง) 3,025 ล้านดอลลาร์
- อินเดีย 928 ล้านดอลลาร์
- กลุ่มประเทศอาเซียน 738 ล้านดอลลาร์
- กลุ่มประเทศเอเชียเหนือ (ไม่รวมจีนและฮ่องกง) 101 ล้านดอลลาร์
- ออสเตรเลีย 19 ล้านดอลลาร์
พร็อพเทคในเอเชียแปซิฟิกมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปมากนับตั้งแต่เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนขึ้นในปี 2550 โดยกลุ่มบริษัทสตาร์ทอัพที่พัฒนาเว็บไซต์ขึ้นเพื่อให้เป็นแหล่งเสนอซื้อเสนอขายอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่พักอาศัยสำหรับบุคคลทั่วไป ก่อนจะขยายมาจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ และครอบคลุมอสังหาริมทรัพย์ประเภทอื่นๆ ดังที่เห็นในปัจจุบัน
บริษัทสตาร์ทอัพในกลุ่มพร็อพเทค นำเสนอเทคโนโลยีหรือแอปพลิเคชันที่สามารถจำแนกออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ ด้วยกัน ตามวัตถุประสงค์การใช้ที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ การซื้อ/ขาย/ให้เช่า, การลงทุน/การเงิน, การพัฒนาโครงการ และการบริหารจัดการอาคาร/อสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ การลงทุนของสตาร์ทอัพในกลุ่มพร็อพเทคส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในส่วนของแพล็ทฟอร์มการซื้อ/ขาย ซึ่งหมายถึงเว็บไซต์หรือแอปต่างๆ ที่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการซื้อขาย/ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ทั้งสำหรับนายหน้า เจ้าของ และผู้ต้องการซื้อหรือเช่า โดยมีสัดส่วนการลงทุนคิดเป็น 52% ของการลงทุนที่เกิดขึ้นทั้งหมดของสตาร์ทอัพในกลุ่มพร็อพเทคนับตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นมา
“สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับพร็อพเทคคือ การที่เราเริ่มเห็นมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ อาทิ เทคโนโลยีการพิมพ์ภาพในรูปแบบสามมิติ วิทยาการหุ่นยนต์ และโดรน บวกกับการที่เมืองใหญ่หลายๆ เมืองของเอเชียตั้งเป้าที่จะเป็นสมาร์ทซิตี้ เชื่อว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญตามมาในแวดวงอสังหาริมทรัพย์” นายเคาส์กล่าว
“ในขณะที่สตาร์ทอัพกลุ่มไฮเทคที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายมีหลากหลายกลุ่ม อาทิ อีคอมเมอร์ส และเกมออนไลน์ เชื่อว่า พร็อพเทคจะเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่จะมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า” นายเคาส์กล่าว