มั่นคงฯ ไตรมาส 3 ปี’ 63 พลิกกำไร 125.04 ลบ.
ตอกย้ำแนวคิดรุกธุรกิจ Recurring Income และธุรกิจสุขภาพ
มั่นใจจบปีเติบโตเป็นไปตามเป้าที่วางไว้
มั่นคงเคหะการ (MK) เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3/2563 กำไรสุทธิอยู่ที่ 125.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151.18 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปี 2562 ปัจจัยจากแผนการดำเนินงาน 5 ปี ตามยุทธศาสตร์พัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Development Roadmap) เร่งเดินหน้ารุกธุรกิจฝั่ง Recurring Income ขยายธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า พร้อมเสริมแกร่งด้วยการเปิดตัวธุรกิจสุขภาพ (Wellness) “โครงการรักษ (RAKxa)” ศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวม มั่นใจสัดส่วนกำไรระหว่างฝั่งเพื่อขายที่อยู่อาศัย (Real Estate) และเพื่อเช่าและการบริการ (Recurring Income) เป็นไปตามเป้า 50:50 ที่วางไว้อย่างแน่นอน
นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) (Mr. Vorasit Pokachaiyapat Chief Executive Officer of M.K. Real Estate Development Public Company Limited) หรือ MK บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย เพื่อเช่าและเพื่อการบริการ เผยผลการดำเนินงาน ของไตรมาส 3 ปี 2563 (สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563) ว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีผลการดำเนินงาน โดยมี รายได้รวมจำนวน 740.88 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 125.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151.18 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันกับปีก่อน (2562) ที่ขาดทุนสุทธิอยู่ 26.14 ล้านบาท เหตุผลสำคัญมาจากแผนการดำเนินงาน 5 ปีของบริษัท อีกทั้งการขยายธุรกิจกลุ่มให้เช่าและบริการ (Recurring Income) อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการจัดตั้ง กองทรัส พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล (PROSPECT) ส่งผลให้มีรายได้อยู่ที่ 89.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.41% ส่วนธุรกิจเพื่อพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายมีรายได้ 611.47 ล้านบาท และธุรกิจสนามกอล์ฟมีรายได้ 39.42 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเสริมแกร่งให้แก่กลุ่มบริษัทด้วยการเปิดตัว โครงการรักษ (RAKxa) ศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวม ที่พร้อมให้บริการอย่างเป็นทางการเดือนธันวาคม 2563
“ถึงแม้ว่าผลกระทบจากปัจจัยลบของสภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจ แต่ กลุ่มบริษัทก็ยังคงสามารถดำเนินงานได้ตามแผนธุรกิจที่วางไว้ ทั้งแผนการจัดหาแหล่งเงินทุน และแผนการ เพิ่มสัดส่วนกำไรขั้นต้นจากธุรกิจที่มีรายได้สม่ำเสมอ โดยธุรกิจให้เช่าและบริการของกลุ่มบริษัทในไตรมาสนี้ มีรายได้จากโครงการบางกอก ฟรีเทรด โซน ของ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้น 2.36 ล้านบาท จากจำนวน 74.36 ล้านบาท เป็นจำนวน 76.72 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 3.17% พร้อมกันนี้ยังมีรายได้จากการขายสินทรัพย์บางส่วนของโครงการฯ เข้ากองทรัสต์ จำนวน 130,092 ตารางเมตร มูลค่าประมาณ 1,953.10 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะช่วยลดภาระด้านการจัดหาแหล่งเงินทุนแล้ว ยังทำให้มียอดรับรู้กำไรจากการขายสินทรัพย์ดังกล่าวจำนวน 263.30 ล้านบาท และสำหรับตัวโครงการบางกอก ฟรีเทรด โซน เรายังมีแผนเตรียมเปิดแห่งที่ 2 และ 3 บนทำเลถนนบางนา-ตราด โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมให้บริการประมาณช่วงต้นปี 2564 ส่วนรายได้จากค่าเช่าและบริการ โครงการ พาร์ค คอร์ท สุขุมวิท 77 และพื้นที่เช่าอื่นๆ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน”
นายวรสิทธิ์ กล่าวต่อไปว่า “ส่วนธุรกิจเพื่อขายที่อยู่อาศัยนั้น แม้จะได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทก็ยังคงสามารถรักษาระดับรายได้จากการขายได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ ซึ่งในไตรมาสนี้มียอดรับรู้รายได้ที่ 611.48 ล้านบาท ทั้งนี้เป็นผลมาจากนโยบายการให้คำปรึกษาอย่างมีประสิทธิภาพของทีมขาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมข้อมูลทางการเงินอย่างรัดกุมเพื่อช่วยเหลือลูกค้าให้ได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงิน การเพิ่มช่องทางสื่อสารทางการตลาดแบบออนไลน์ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น การพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับ ความต้องการของผู้บริโภค การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย”
สำหรับผลการดำเนินงานสะสม 9 เดือนของกลุ่มบริษัทในปีนี้มีกำไรสุทธิ 30.07 ล้านบาท ผลจากการปรับโครงสร้างรายได้ของกลุ่มบริษัทเพื่อสร้างสมดุลรายได้ที่มั่นคง ซึ่งได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว ตามกลยุทธ์การดำเนินงาน 5 ปี ของแผนยุทธศาสตร์พัฒนาธุรกิจเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Development Roadmap) ทำให้กลุ่มบริษัทสามารถลดผลกระทบดังกล่าวได้อย่างน่าพอใจ โดยมีสัดส่วนกำไรขั้นต้นจากธุรกิจที่มีรายได้ที่สม่ำเสมอและรายได้จากการให้บริการต่อรายได้จากการดำเนินการในทุกธุรกิจ โดยไม่นับรวมรายได้จากการขายที่ดินเปล่าเพิ่มจาก 4.5% เมื่อปี 2558 เป็น 31.8% ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2563 และมีอัตราส่วนหนี้สินที่ไม่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (Interest bearing debt ratio) เท่ากับ 1.3 เท่า
“อย่างไรก็ดี บมจ.มั่นคงเคหะการ ยังคงสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารงาน 9 เดือนได้อย่างเหมาะสม โดยมีจำนวน 634.74 ล้านบาท ลดลง 136.36 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17.68% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ดีในไตรมาสที่ 3 มียอดเพิ่มขึ้น 33.92 ล้านบาท เนื่องจากการดำเนินงานในส่วนธุรกิจสุขภาพโครงการรักษ (RAKxa) ซึ่งอยู่ในระหว่างการทดสอบระบบและบริการ (Test run) เพื่อเตรียมเปิดให้บริการในช่วงเดือนธันวาคม 2563 ทั้งนี้บริษัทเชื่อมั่นว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอได้ตามแผนที่วางไว้ โดยตั้งเป้าสัดส่วนกำไรทั้ง 2 ฝั่งอยู่ที่ 50:50 ภายในปี 2564” นายวรสิทธิ์ กล่าว