ซุปเปอร์เทรดเดอร์ รีพับบลิค มองหุ้นไทยปี 2018 ยังสดใส
จับตาโครงการ EEC ดันกำไรบริษัทจดทะเบียน
กูรูการลงทุนจาก ซุปเปอร์เทรดเดอร์ รีพับบลิค มองหุ้นไทยไตรมาสแรกยังสดใส จับตานโยบาย EEC ดันกำไรหุ้นที่ได้รับประโยชน์ปรับตัวขึ้น ส่วนปัจจัยทางเทคนิคสามารถผลักดัน SET Index แตะระดับ1,780-1,800 จุดได้เป็นเป้าหมายแรกของปีนี้
นายกระทรวง จารุศิระ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซุปเปอร์เทรดเดอร์ รีพับบลิค จำกัด ให้มุมมองตลาดหุ้นไทยปี 2018 ยังมีแนวโน้มสดใส แม้หุ้นหลายตัวราคาจะปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างสูง แต่สภาพคล่องในระบบที่ยังล้นช่วยผลักดันให้หุ้นยังไปต่อได้ โดยมองว่าตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นได้ตลอดทั้งไตรมาสแรก และจะเริ่มพักฐานตั้งแต่เดือนเมษายน
ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาคือการเลือกตั้งจะเป็นไปตามกำหนดการเดิมในปี 2562 หรือไม่และนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือ EEC จะเดินหน้าได้มากน้อยเพียงใด เพราะเป็นโครงการที่จะกระตุ้นจีดีพีและการลงทุนในประเทศในระยะยาวได้เหมือนกับโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดในอดีต
“หุ้นกลุ่มที่น่าจับตาคือหุ้นที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบาย EEC อย่างกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม รับเหมาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนั้นกลุ่มโรงไฟฟ้ายังดีอยู่ ส่วนธนาคารอัพไซด์ค่อนข้างจำกัดแล้ว ส่วนสื่อสารต้องรอความชัดเจนในการประมูลคลื่นความถี่ก่อน ที่ต้องระวังคือหุ้นที่เป็น Growth Stock ที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างสูงแล้ว หากโตน้อยลง ความคาดหวังที่มีสูงอาจทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง”
นายปุณยวีร์ จันทรขจร กรรมการบริหาร บริษัท ซุปเปอร์เทรดเดอร์ รีพับบลิค จำกัด กล่าวว่าสิ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นขึ้นได้ต่อเนื่องในปี 2018 มีอยู่สองปัจจัยหลักๆคือ หนึ่งสภาพคล่องกับสองกำไรของบริษัทจดทะเบียน
หนึ่งคือเรื่องของสภาพคล่อง จากคำพูดของธนาคารกลางสหรัฐจะมีการขึ้นดอกเบี้ยอีกสามครั้ง แต่ถ้าดู Fed Fund Future ซึ่งสะท้อนมุมมองของตลาดกลับมองว่า FED สามารถขึ้นได้อีกครั้งเดียว ซึ่งความเห็นที่ไม่ตรงกันนี้น่าจะสร้างความผันผวนในตลาดเงินและตลาดหุ้นได้ไม่น้อย แต่ก็เป็นโอกาสในการทำกำไรเช่นกัน
หันกลับมาดูสภาพคล่องในประเทศไทย เม็ดเงินหลักๆน่าจะมาจาก Real Sector ในประเทศที่มีการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนมากขึ้น โดยกลุ่มก่อสร้างที่ติดขัดมาทั้งปีหลังเกิดการเปลี่ยนสเปคในก่อสร้างทำให้เกิดความไม่แน่นอนน่าจะกลับมาเดินหน้าเต็มสูบอีกรอบในปีนี้ อีกตั้งการเลือกตั้งในปี 2018 น่าจะ Drive Theme Domestic play ให้เดินหน้าได้เต็มที่ทั้งกลุ่มโรงพยาบาล อสังหาริมทรัพย์และสื่อสาร ที่ยังคงเป็น Laggard Play ในปี 2017 จะสลับมา Bullish อีกรอบ
และสองคือเรื่องของระดับกำไรบริษัทจดทะเบียน สิ่งที่ผลักดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐขึ้นต่อเนื่องแบบกระทิงดุอีกปีคือ Corporate Profit ตลาดหุ้นไทยในปี 2018 นี้ก็เช่นกันครับ ถ้ามีความสามารถในการทำกระแสเงินสดดีๆ กำไรโตต่อเนื่องยังไงก็มีเงินไหลเข้ามาซื้อทั้งในและต่างประเทศ
“สิ่งที่ผมอยากเน้นย้ำเวลาอ่านงบเบื้องต้นคือความนิ่งของเงินสดและการเติบโตของกำไรของบริษัทสามารถสะกดความผันผวนของราคาได้ และน่าจะดันดัชนี SET Index ไปอย่างน้อยที่ 1780 ภายในไตรมาสแรกนี้”
นางสาวกนิษฐา รอดดำ กรรมการบริหาร บริษัท ซุปเปอร์เทรดเดอร์ รีพับบลิค จำกัด ให้มุมมอง SET Index ในปี 2018 โดยใช้ทฤษฎี Elliot Wave อธิบายได้ว่าตั้งแต่กลางเดือน ตุลาคม ถึงกลางเดือนธันวาคม 2017 SET อยู่ในกรอบ Sideway โดยมีแนวต้านที่ 1,730 จุด และมีแนวรับที่ 1,680 จุด ด้วยทฤษฎี Elliott Wave มองว่าอยู่ใน Wave 5 เมื่อทะลุผ่านแนวต้านไปได้เป้าหมายแรกที่ 1,800 จุด
ในปี 2018 Sector ที่มีความน่าสนใจคือ พลังงาน และธนาคาร กลุ่มพลังงานที่น่าสนใจอยู่ที่กลุ่มโรงกลั่น และพลังงานทดแทน จากปี 2017 พลังงานทดแทนขึ้นมาอย่างร้อนแรง แต่หลายๆ ตัวก็ยังไม่จบCycle ขาขึ้น จึงเป็นอีกกลุ่มที่มีความน่าสนใจในการพิจารณาการลงทุน ขณะที่กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่น่าสนใจในทาง Elliott Wave เพราะกำลังอยู่ใน Wave 3
นายจุติ เสนางคณิกร กรรมการบริหาร บริษัท ซุปเปอร์เทรดเดอร์ รีพับบลิค จำกัด ให้มุมมองตลาดหุ้นปีหน้าผ่าน SET50 และตลาด TFEX ช่วงไตรมาสแรกของ ปี 2018 จากข้อมูลในอดีตตลาดSET และ SET50 ตั้งแต่ปี 1975-2016 การเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเดือน มกราคม ถึงเดือน มีนาคม ราคาจะมีทิศทางขึ้นอย่างชัดเจน แต่จะมีการย่อตัวได้เล็กน้อยในเดือนมีนาคม โดยมีการเปลี่ยนแปลงของราคาเฉลี่ยสามเดือนอยู่ที่ +2.41% , +0.70% และ -0.27% ตามลำดับ ซึ่งเดือนที่ควรระมัดระวังในการลงทุนคือเดือน มีนาคม เพราะจากข้อมูลในอดีตจะมีการเปลี่ยนแปลงของราคาในทิศทางลง ดังนั้นการลงุทนในช่วง Q1 ราคาจะมีทิศทางขึ้นในช่วงแรกและจะเริ่มอ่อนแรงลงจนถึงปลายไตรมาศ
ในเชิงของเทคนิคคัล ปัจจุบันตลาด SET50 ได้ทำการยอมรับกรอบราคาที่ 1097 จุดไปแล้ว ทำให้ที่ราคา 1086 จุดกลายเป็นแนวรับสำคัญ และมีแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 1135 จุด หากพิจารณาเปรียบเทียบ ในเชิงของเทคนิคคัลกับข้อมูลในอดีต การเคลื่อนไหวของราคาใน Q1 นี้จะมีโอกาสทดสอบแนวต้านที่ 1135 จุดก่อน
บทความโดย PropDNA