ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการไตรมาสสอง เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
ยอดรับรู้รายได้ 1,675.2 ล้านบาท กำไรสุทธิ 351.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30%
พร้อมประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลหุ้นละ 0.295 บาท
บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) ประกาศผลประกอบการไตรมาสสอง ปี 2564 มียอดรับรู้รายได้ที่ 1,675.2 ล้านบาท ขยายตัวจากไตรมาสก่อนหน้า 10% และขยายตัวได้จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 28% โดยบริษัทยังคงรักษาความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดี ส่งผลให้มีอัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมได้อย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิที่ 351.8 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนกำไรสุทธิที่ 21% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้น 30%
ทั้งนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.295 บาท โดยกำหนดวัน Record Date ผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 30 สิงหาคม 2564 และจะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในวันที่ 10 กันยายน 2564 นี้ ซึ่งเมื่อเทียบกับระดับราคาหุ้นปัจจุบัน คิดเป็น Dividend Yield ทั้งปีที่ราว 6.5%
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปต์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวว่า ในปี 2564 นี้ เป็นอีกปีที่ท้าทายการดำเนินธุรกิจอย่างมาก เกิดการระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ในหลายประเทศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย จากสายพันธุ์เดลต้าที่แพร่กระจายได้เร็ว และวัคซีนที่มีในปัจจุบันมีประสิทธิภาพที่ลดลงเมื่อเจอกับสายพันธุ์ดังกล่าว ในประเทศไทยเกิดการระบาดระลอกสาม ที่เริ่มรุนแรงนับตั้งแต่เมษายน และขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเกินกว่า 20,000 คนต่อวันในปัจจุบัน ซึ่งได้ส่งกระทบทั้งต่อสังคม และเศรษฐกิจของไทยอย่างรุนแรง ซึ่งภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับภาวะเศรษฐกิจอย่างมาก ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันจากภาวะเศรษฐกิจ
ในส่วนของลลิลฯ แม้การทำงานจะมีความยากลำบากมากขึ้นจากภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย แต่การที่บริษัทมีการบริหารงานอย่างรัดกุม เน้นทำตลาดในกลุ่มที่เป็นความต้องการซื้อที่แท้จริง (Real Demand) บวกกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ในราคาที่คุ้มค่า ช่วยให้บริษัทยังคงสามารถบริหารธุรกิจได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มียอดรับรู้รายได้แล้ว 3,194.5 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 25% ซึ่งนับว่าเติบโตได้ดีสวนทางกับสภาวะอุตสาหกรรมที่สอบตัวลง ในขณะที่บริษัทยังคงบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้เป็นอย่างดี สะท้อนในอัตราส่วนความสามารถในการทำกำไรที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยระดับอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ในช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ระดับ 39.3% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่การควบคุมต้นทุนทางด้านการขาย และต้นทุนในการบริหารทำได้ดีขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A/Sales) ปรับลดลงจาก 10.1% มาอยู่ที่ 9.3% ส่งผลให้ในครึ่งปีแรกนี้ บริษัทมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 674 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้นที่ 0.73 บาท เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติในช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 518.5 ล้านบาท คิดเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้น 30%
สำหรับการขยายธุรกิจ ในปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงที่ผ่านมาของปี มีการเปิดโครงการใหม่ไปแล้วทั้งสิ้น 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4,500 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเตรียมเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ ซึ่งแม้บริษัทจะมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง บริษัทมีการบริหารความเสี่ยงทางด้านการเงินอย่างรัดกุม โดย ณ สิ้นไตรมาสองนี้ มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.64 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่าอย่างมาก และหากพิจารณาในแง่ของตัวเลข Net D/E ณ สิ้นไตรมาสสอง อยู่ที่ระดับเพียง 0.28 เท่า สะท้อนความเสี่ยงทางการเงินที่ต่ำ และศักยภาพในการขยายธุรกิจของบริษัท ทั้งนี้บริษัทเพิ่งประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้มูลค่า 400 ล้านบาท ที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี ที่ 2.90% โดยในปีนี้มีการออกหุ้นไปแล้ว 2 ครั้ง มูลค่ารวม 1,050 ล้านบาท เพื่อเป็นการรองรับการขยายธุรกิจของบริษัท