ALLY REIT โชว์ผลงานไตรมาส1/65 เคาะจ่ายปันผลต่อหน่วยสูงสุด
ในประวัติการณ์นับตั้งแต่มีการจัดตั้งกอง
ตอบรับปัจจัยพื้นฐานที่เกื้อหนุนจากการลงทุนโครงการใหม่-กระแสเปิดประเทศรับต่างชาติ
ALLY REIT โชว์ผลงานไตรมาส1/2565 ปิดรายได้ 371.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.2% และมีกำไรสุทธิ 152.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% หลังเข้าลงทุนโครงการเดอะไพร์ม หัวลำโพง ตอบรับสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย ภาครัฐผ่อนคลายมาตรการ รวมถึงเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติหนุนยอดใช้บริการพุ่ง 116% จากเวลาช่วงก่อน COVID อีกทั้ง ALLY REIT ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือเป็น BBB+ พร้อมเตรียมงบลงทุนโครงการใหม่ศักยภาพสูงขยายพอร์ตเพิ่มกว่า 5,000 ล้านบาทสำหรับ 3 ปีข้างหน้า
นายกวินทร์ เอี่ยมสกุลรัตน์ กรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.อี.รีท แมเนจเมนท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทรัสต์ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2565 ALLY REIT มีรายได้รวม 371.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.2% และมีกำไรสุทธิ 152.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปัจจัยการเข้าลงทุนสินทรัพย์เพิ่มเติมในโครงการเดอะไพร์ม หัวลำโพง ด้วยเงินลงทุน 171.8 ล้านบาท เมื่อวันที่ 1 ก.พ.65 ที่ผ่านมา ส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินรวม 13,406 ล้านบาท และจ่ายเงินปันผลที่ 0.1620 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราประมาณ 9.8% (Annualized Yield)
ทั้งนี้ จากเศรษฐกิจไทยที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติและจากการผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ของภาครัฐ อีกทั้งการเปิดให้บริการของร้านค้าชื่อดังรายใหม่ ๆ ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้บริการ (Shopper) เพิ่มมากขึ้นภายใต้โครงการศูนย์การค้าของ ALLY REIT อาทิ ทองสมิทธ์ และ Pet Lovers Centre เป็นต้น ซึ่งช่วยดึงดูดให้มีลูกค้ากลับเข้ามาใช้บริการภายในศูนย์การค้าในเครือฯ เพิ่มขึ้น 116% ของช่วงเวลาก่อน COVID-19 และส่งผลให้อัตราการเช่าพื้นที่ของทุกโครงการเฉลี่ยอยู่ที่ 92.7%
นอกจากนี้ล่าสุด ทริสเรทติ้ง (TRIS) ยังจัดอันดับความน่าเชื่อถือ หรือ Credit Rating ของ ALLY REIT ที่ระดับ BBB+ ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable ซึ่งเป็น Investment Grade ที่สะท้อนถึงศักยภาพและผลงานการบริหารทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการของ ALLY REIT ซึ่งเป็นศูนย์การค้าชุมชนหรือคอมมูนิตี้มอลล์ที่มีคุณภาพสูง ตลอดจนกระแสเงินสดที่มีความสม่ำเสมอจากสัญญาเช่าและบริการตามสัญญา และนโยบายการบริหารงานของผู้บริหาร การวางแผนธุรกิจเพื่อขยายการลงทุน ,การวางแผนและบริหารจัดการด้านการเงินอย่างรอบคอบ ทำให้ ALLY REIT มีโอกาสสามารถระดมทุนได้จากการออกหุ้นกู้เพื่อลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพเพิ่มเติมในอนาคตปีละ 3-5 โครงการ และสามารถลดอัตราดอกเบี้ยจากการกู้เงินได้ด้วย
“ปีนี้ยังที่มีแผนปรับปรุงศูนย์การค้าคริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (ซีดีซี) ภายใต้ concept “Gardens of Design” โดยเพิ่มพื้นที่ขายและจัดพื้นที่พิเศษ Pet Park ที่สามารถนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาเดินเล่นได้ โดยจะเปิดตัวภายในไตรมาส 3 นี้ รวมถึงปรับปรุงพื้นที่เช่าแนวคิดใหม่สำหรับโครงการเดอะไพร์ม หัวลำโพง เพื่อตอบโจทย์เทรนด์คนรุ่นใหม่ และปรับปรุงศูนย์การค้าสัมมากรเพลส ราชพฤกษ์ ภายใต้แนวคิด สร้างสรรค์สังคมน่าอยู่หรือ concept “Friendly Community Market”ด้วย”
นายกวินทร์ กล่าวต่อว่า นโยบายของบริษัทฯ การทำธุรกิจจะคำนึงถึงความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ซึ่งขณะนี้ได้มีการติดตั้งหลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Rooftop) แล้วใน 5 โครงการ ได้แก่ ซีดีซี คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์, เดอะคริสตัล ชัยพฤกษ์, เพลินนารี่มอลล์, เดอะซีน, สัมมากรเพลส ราชพฤกษ์ และ สัมมากรเพลส รังสิต ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงานและลดค่าใช้ไฟฟ้าของแต่ละโครงการลงได้มากถึง 32% นอกจากนี้ ยังร่วมมือกับกลุ่ม ปตท.ในการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จรถไฟฟ้าด้วยตอบรับกระแสยานยนต์ไฟฟ้า EV และ ESG (Environmental Social Governance)
“นอกจากนี้เรามีแผนที่จะขยายพอร์ตให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยการลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพสูง ที่เป็น ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้ มอลล์ หรือโครงการมิกซ์ยูส (Mixed Use) ชั้นนำ เราวางแผนงบประมาณลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมประมาณ 5,000 ล้านบาท สำหรับการลงทุนในอีก 3 ปีข้างหน้าโดยมีเป้าหมายว่า ALLY REIT จะเป็น REIT Top-5 ของประเทศที่มีโครงการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ได้อย่างดีที่สุด”