สิงห์ เอสเตท ปิดไตรมาส1 กำไรโตขึ้น 14% พร้อมประกาศจ่ายปันผล หุ้นละ 0.045 บาท
ตอกย้ำสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง มั่นใจธุรกิจเติบโตยั่งยืน
ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรก สิงห์ เอสเตท มีกำไรสุทธิ 335 ล้านบาท หรือเพิ่ม 14% จากรายได้รวม 2,186 ล้านบาท โดยรายได้มาจากธุรกิจที่พักอาศัย 752 ล้านบาท ธุรกิจอาคารสำนักงาน 243 ล้านบาท และธุรกิจโรงแรม 1,144 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง พร้อมจ่ายปันผลประจำปี 2562 หุ้นละ 0.045 บาท และได้รับความร่วมมือที่ดีจากพันธมิตร เดินหน้าเตรียมแผนกลยุทธ์ฟื้นฟูธุรกิจอย่างต่อเนื่องหลังวิกฤตโควิดผ่อนคลาย มั่นใจเติบโตอย่างยั่งยืน
บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ประกาศผลประกอบการไตรมาสแรกจาก 3 ธุรกิจหลักของบริษัท มีรายได้ทั้งหมด 2,186 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจที่พักอาศัย 752 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 56%, ธุรกิจอาคารสำนักงานมีรายได้ 243 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 41% และธุรกิจโรงแรมมีรายได้ 1,144 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 17% และทำให้ภาพรวมของบริษัทมีกำไรสุทธิของไตรมาสที่ 1 ปี 2563 อยู่ที่ 335 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสที่ 1 ปี 2562 โดยสาเหตุสำคัญมาจากการรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อยของ SHR จำนวน 423 ล้านบาท และการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการบัญชีของตราสารอนุพันธ์ (Mark to market) ส่งผลให้สามารถรับรู้กำไรจำนวน 115 ล้านบาท
นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงรายละเอียดของผลประกอบการณ์ว่าผลประกอบการไตรมาสแรกจาก 3 ธุรกิจหลักของบริษัท มีรายได้ทั้งหมด 2,168 ล้านบาท โดยรายได้ด้านธุรกิจที่พักอาศัยมาจากการโอนคอนโดมิเนียมโครงการ ดิ เอส อโศก (THE ESSE ASOKE) และโครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (THE ESSE at SINGHA COMPLEX) โดยคิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 34% หรือ 752 ล้านบาท โดยมาตรการปิดเมือง (Lock-down) ยังส่งผลต่อธุรกิจในระดับหนึ่ง อาทิ ลูกค้าชาวต่างชาติไม่สามารถเดินทางมาตรวจรับมอบอาคารชุดได้ด้วยตนเอง และลูกค้าชาวไทยบางส่วนชะลอการเข้าเยี่ยมชมโครงการ และตรวจรับห้องออกไปจนกว่าสถานการณ์จะคลายตัวลงเพื่อรักษาระยะห่างทางสังคม (Social distancing) อย่างไรก็ดีช่วงไตรมาสที่ 1 นั้นยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
ในปีนี้บริษัท ยังมีโครงการที่ก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ และพร้อมที่จะเริ่มโอนในไตรมาส 4 คือโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 (THE ESSE SUKHUMVIT 36) ซึ่งร่วมทุนกับ ฮ่องกง แลนด์ ที่ปัจจุบันมียอดขายไปแล้วกว่า 60% โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับ super luxury มีมูลค่าโครงการสูงถึง 6,500 ล้านบาท และเพื่อสร้างความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากการแพร่เชื่อโควิด จึงได้เพิ่มช่องทางการตลาดออนไลน์แบบ Virtual Tour 360 องศา ที่ทำให้ลูกค้าสามารถชมห้องตัวอย่างได้เปรียบเสมือนมาอยู่ในสถานที่จริง นอกจากนี้บริษัทได้มีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Affordable luxury ในทำเลศักยภาพย่านรางน้ำภายใต้ชื่อโครงการ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ (THE EXTRO PHAYATHAI – RANGNAM) มีมูลค่าโครงการกว่า 4,100 ล้านบาท ทำให้ภาพรวมธุรกิจที่พักอาศัยสามารถเติบโตได้ในระดับที่บริษัทคาดการณ์ไว้
ด้านธุรกิจอาคารสำนักงานปัจจุบันมีทั้งสิ้น 4 อาคารได้แก่ อาคารซันทาวเวอร์ส, อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์, เดอะ ไลท์เฮ้าส์ และอาคารเมโทรโพลิศ พื้นที่รวม 140,000 ตารางเมตร มีอัตราปล่อยเช่าเฉลี่ยราว 87% โดยในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 บริษัทรับรู้รายได้จำนวน 243 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากการเข้าซื้ออาคารเมโทรโพลิศ ซึ่งมีพื้นที่ 13,700 ตารางเมตร และมีอัตราปล่อยเช่าสูงถึง 97% มีโอกาสในการเติบโตสูงเพราะตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมาก ใกล้รถไฟฟ้าสถานีพร้อมพงษ์ เป็นแหล่งไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่
ด้านธุรกิจโรงแรม จากพอร์ทรวมทั้งหมด 39 แห่ง มีรายได้ 1,144 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 52% โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมานั้น มาจากการเปิดโครงการ Crossroads และได้ดำเนินการ SAii Lagoon Maldives, Hard Rock Hotel Maldives และ The Marina @ CROSSROADS ตั้งแต่ปลายปีก่อนต่อเนื่องถึงต้นปีนี้
อย่างไรก็ดีการเปิดโครงการ Crossroads ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น แต่ทั้งนี้กำไรของบริษัทยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากการรับรู้รายได้จากส่วนอื่น ได้แก่ กำไรจำนวน 423 ล้านบาท จากการขายเงินลงทุนในเกาะ 3 ที่โครงการ Crossroads โดยการขายเงินลงทุน 50% ให้กับ Wai Eco World Developer Pte. Ltd ตามสัญญาร่วมทุนเพื่อพัฒนาและบริหารงาน High-end lifestyle resorts ด้วยราคาซื้อขายหุ้นมูลค่า 16.2 ล้านเหรียญสหรัฐ และผลจากมาตรฐานการบัญชี TFRS 9 ทำให้บริษัทสามารถรับรู้กำไรจำนวน 115 ล้านบาทจากส่วนต่างของการ Mark to market อนุพันธ์แฝงจากหุ้นกู้แปลงสภาพ ส่งผลให้กำไรสุทธิของงวดอยู่ที่ 335 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากไตรมาสที่ 1 ปี 2562
“จากภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บริษัทตระหนักดีว่าต้องเผชิญกับความท้าท้ายครั้งสำคัญ รวมทั้งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอน ทั้งนี้บริษัทมั่นใจว่าสามารถรักษาการเติบโตแบบยั่งยืนได้ด้วยสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง จากอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นที่ 0.86 เท่า ซึ่งต่ำมากเมื่อเทียบกับ covenant ของบริษัทที่ 2.0 เท่า และเพื่อเป็นการคำนึงถึงผลตอบแทนผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นสำคัญ บริษัทจึงคงการจ่ายปันผลระหว่างกาล จากกำไรสุทธิประจำปี 2562 หุ้นละ 0.045 บาท และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม 2563
สำหรับในไตรมาสต่อไปบริษัทมีการปรับแผนกลยุทธ์เพื่อฟื้นฟูธุรกิจเน้นการดำเนินแผนบริหารจัดการต้นทุนที่เคร่งครัด อาทิ การปรับงบประมาณและควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการตลาด การบริหารกระแสเงินสด รวมถึงการสร้าง synergy ระหว่างพันธมิตรธุรกิจ ที่สำคัญบริษัทยังมุ่งมั่นในการพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกกลุ่มตลอดจนสร้างความยืดหยุ่นให้กับองค์กรเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับกับการเปลี่ยนแปลงทุกมิติ และเชื่อมั่นว่าบริษัท จะผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างแข็งแกร่ง” นางฐิติมา กล่าวทิ้งท้าย