เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ปิดดีล 6 พันล้านบาท จ่อบุ๊คกำไรจากการขายทรัพย์
และจัดโครงสร้างสิทธิการเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ให้กองทรัสต์ FTREIT เพื่อเตรียมเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการเติบโตในอนาคต
บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” ผู้นำการให้บริการแพลตฟอร์มด้านอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรของประเทศไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการขายทรัพย์ พร้อมกับอนุมัติการจัดโครงสร้างสิทธิการเช่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ หรือ “FTREIT” ซึ่งเป็นกองทรัสต์อุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท สร้างเงินทุนหมุนเวียนที่จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้น อีกทั้งยังเป็นการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นเงินทุนเพื่อใช้สำหรับการพัฒนาโครงการ และการลงทุนในอนาคตเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
รายการสินทรัพย์ที่เสนอให้แก่ FTREIT ในครั้งนี้ ประกอบด้วย อาคารโรงงาน จำนวน 35 ยูนิต และคลังสินค้า จำนวน 30 ยูนิต พื้นที่อาคารรวมทั้งสิ้น 284,609 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ด้านอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ในพื้นที่ สมุทรปราการ ปทุมธานี อยุธยา และคลัสเตอร์ในพื้นที่ อีอีซี โดยจะแบ่งการขายสินทรัพย์ออกเป็น 4 ชุด โดยสินทรัพย์ชุดแรกมีมูลค่ารวมประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการโอนเสร็จสิ้นภายในปีงบประมาณ 2563 ทั้งนี้ FPT ยังคงสถานะผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม ด้วยพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่ง พื้นที่อาคารภายใต้การบริหารจัดการรวมกว่า 3 ล้านตารางเมตร และอัตราการเช่าพื้นที่สูงถึง 80% (ข้อมูล ณ เดือนมีนาคม 2563)
นายโสภณ ราชรักษา ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” กล่าวว่า “ในฐานะผู้สนับสนุนหลักของกองทรัสต์ FTREIT เรามุ่งมั่นในการส่งมอบสินทรัพย์คุณภาพสูงในพอร์ตฟอลิโอ บนทำเลศักยภาพด้านอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ให้แก่ FTREIT อย่างต่อเนื่อง ซึ่งการลงทุนเพิ่มเติมของ FTREIT ในครั้งนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพ และกระจายความเสี่ยงของสินทรัพย์ลงทุนของกองทรัสต์ เสริมสร้างการเติบโตและผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุน ขณะที่ภาพรวมไปป์ไลน์ของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมของ FPT บริษัทฯ ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้วยอานิสงค์จากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ และสถานการณ์โควิด–19 ที่ส่งผลให้ดีมานด์ของผู้ประกอบการจีนที่ต้องการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนั้น เรายังได้ตั้งเป้าหมายการปิดดีลโครงการ Built-to-Suit ขนาดใหญ่ในทุกปี เพื่อเป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มพื้นที่การบริหารจัดการทดแทนพื้นที่ที่ FPT ขายเข้า FTREIT ในแต่ละปี อันจะเป็นการสร้างความยั่งยืนในระยะยาวให้แก่บริษัทฯ”
ล่าสุด FPT ปิดดีลการพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าอัจฉริยะของ F&N ในอยุธยา โดยคาดว่าจะมีข่าวดีต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง โดยบริษัทฯ เล็งเห็นดีมานด์การเติบโตจากกลุ่มอุตสาหกรรมสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ การแพทย์ และเวชภัณฑ์ รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
“รายได้จากการเข้าลงทุนสินทรัพย์ของ FTREIT จะช่วยให้บริษัทฯ มีเงินลงทุนสำหรับการขยายธุรกิจในอนาคตเพื่อสร้างผลกำไรที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ผู้ถือหุ้น” นายโสภณ กล่าวสรุป