“โฮมโปร” อวดรายได้สวนกระแสเศรษฐกิจ 9 เดือนแรก
กวาดรายได้รวม 50,493.89 ล้านบาท กำไรสุทธิ 4,428.72 ล้านบาท โตเพิ่ม 12.78%
“โฮมโปร” โชว์รายได้ช่วง 9 เดือนแรก มีรายได้รวม 50,493.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 3.35% และมีกำไรสุทธิเป็นจำนวน 4,428.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.78% ถึงแม้เศรษฐกิจภาพรวมยังซบเซา แต่รายได้ที่เติบโตมาจากยอดขายสาขาเดิมของธุรกิจโฮมโปร และเมกา โฮม รวมถึงการเติบโตของยอดขายจากสาขาใหม่จากธุรกิจโฮมโปร
นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัท ในช่วง 9 เดือนแรก 2562 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 50,493.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,634.89 ล้านบาท หรือ 3.35% และมีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 4,428.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 501.87 ล้านบาท หรือ 12.78% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย จำนวน 47,046.01 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,325.80 ล้านบาท หรือ 2.90% ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของธุรกิจโฮมโปร และเมกา โฮม รวมถึงการเติบโตของยอดขายจากสาขาใหม่จากธุรกิจโฮมโปร และ รายได้ค่าเช่าและบริการ 1,951.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 203.37 ล้านบาท หรือ 11.63% เป็นผลมาจากรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจากพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้ามาร์เกต วิลเลจ และพื้นที่ให้เช่าของสาขาโฮมโปร และพื้นที่เช่าจากการจัดกิจกรรมต่างๆร่วมกับคู่ค้า และรายได้จากค่าบริการ “Home Service” และมีรายได้อื่นอีก 1,496.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105.72 ล้านบาท หรือ 7.60% โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้ส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้า ดอกเบี้ยรับ และรายได้เบ็ดเตล็ด
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น 12,496.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 542.68 ล้านบาท หรือ 4.54% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 26.15% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.56% โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของส่วนผสมสินค้ามีไว้เพื่อขายทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป และกลุ่มสินค้า Direct Sourcing รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพวางแผนการจัดซื้อสินค้าของธุรกิจโฮมโปร เมกา โฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย
นายคุณวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในไตรมาส 3 ปี 2562 มีความกังวลต่อเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลง การขยายตัวของเศรษฐกิจต่ำกว่าที่ประเมินไว้ เนื่องจากผลกระทบจากสภาวะการกีดกันสงครามทางการค้าและเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอลง โดยเฉพาะ ภาคการส่งออกสินค้าได้รับผลกระทบตามเศรษฐกิจคู่ค้าและปริมาณการค้าโลกที่ชะลอลง เริ่มส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนโดยเฉพาะอุปสงค์ในประเทศ การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากรายได้และการจ้างงานที่ปรับลดลงโดยเฉพาะในภาคการส่งออก ประกอบกับกำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงได้รับแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและราคาสินค้าการเกษตรที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ สำหรับภาคการท่องเที่ยวมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง รวมถึงผลกระทบจากฤดูฝน และอุทกภัยที่ภาคอีสาน อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้มีมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทย เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโครงการชิมช้อปใช้ เป็นต้น
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาสนี้ถือเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจค้าปลีก ซึ่งได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย เช่น ตัวเลขด้านเศรษฐกิจไทย ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงต่ำสุดในช่วง 38 เดือนที่ผ่านมา และอุทกภัยในต่างจังหวัด รวมถึงยอดขายสินค้ากลุ่มโทรทัศน์ที่สูงผิดปกติในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2561 ทำให้การเติบโตของยอดขายในไตรมาสที่ 3 ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้า อาทิ งานโฮมโปร แฟร์ (HomePro Fair) ที่เมืองทองธานี และที่หาดใหญ่ รวมถึงกิจกรรม “ฉลองครบรอบ 23 ปี Anniversary Day ” ในช่วงวันที่ 29 สิงหาคม – 29 กันยายน 2562 เพื่อกระตุ้นยอดขายอีกด้วย
นายคุณวุฒิ กล่าวถึง การเติบโตของบริษัทย่อยว่า เมกา โฮม มียอดขายทรงตัว ส่วนธุรกิจ โฮมโปร ที่ประเทศมาเลเซียยังได้รับผลกระทบจากยอดขายที่สูงผิดปกติในปี 2561 จากการยกเลิกภาษี GST อย่างไรก็ตาม บริษัทย่อยมีประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานต่างๆ ผ่านการปรับปรุงด้านอัตราการทำกำไรขั้นต้น และการบริหารค่าใช้จ่าย
“สำหรับการขยายสาขาในไตรมาสที่ 3 บริษัทฯ ได้ขยายสาขาใหม่ 2 แห่ง ที่ โฮมโปร สาขามุกดาหาร และโฮมโปรเอส สาขาสามย่านมิตรทาวน์ ส่งผลให้ ณ ไตรมาสที่ 3 ของปี 2562 บริษัทฯ มีสาขาโฮมโปร 84 สาขา และ โฮมโปรเอส 9 สาขา เมกา โฮม 12 สาขา และ โฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย 6 สาขาอีกด้วย” นายคุณวุฒิ กล่าวสรุปในตอนท้าย