ตลาดคอนโดราคา 3 ล้านระอุ แอลพีเอ็นปักหมุดทำเลพหลโยธิน
เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของไตรมาส 3 ตลาดคอนโดมิเนียมยังคงดุเดือด โดยเฉพาะคอนโดฯราคามากกว่า 3 ล้านบาท โดยผู้ประกอบการรายใหญ่มีการทยอยเปิดโครงการแทบทุกวัน เหตุเพราะยังเป็นตลาดขายได้ดี ผู้บริโภคยังต้องการสูง ล่าสุดแอล.พี.เอ็นฯ ปักหมุดทำเล”พหลโยธิน”ผุดโครงการ”ลุมพินี พาร์ค พหล 32”มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท
น.ส.เสาวณี อังกูรพิพัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารการขาย บมจ. แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ (LPN) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียม ยังมีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดระดับกลางบน หรือระดับราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป ยังมีความต้องการจากผู้บริโภคอยู่มาก โดยเฉพาะทำเลแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ๆที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่มีการเปิดโครงการเป็นจำนวนมาก ส่งผลต่อภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์มีความคึกคักมากขึ้น
ส่วนภาพรวมของกำลังซื้อมองว่าตลาดระดับกลาง-บน ยังมีกำลังซื้อที่ดีอยู่ และไม่มีแรงกดดันในเรื่องของการอนุมัติสินเชื่ออย่างเช่นตลาดระดับล่าง ซึ่งยังคงมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อในระดับที่สูง เพราะสถาบันการเงินยังคงมีความเข้มงวดการให้สินเชื่อค่อนข้างมาก ซึ่งกลยุทธ์ของบริษัทในปีนี้จะหันมาเน้นการเปิดโครงการระดับกลาง-บนมากขึ้น ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงของระดับโครงการของบริษัท ซึ่งบริษัทจะเน้นการพัฒนาโครงการระดับราคาเฉลี่ย 100,000 บาทต่อตร.ม. และเป็นทำเลที่ขยับเข้ามาในเมืองมากขึ้น
ล่าสุด บริษัทได้เปิดโครงการ”ลุมพินี พาร์ค พหล 32” เป็นคอนโดฯ พัฒนาภายใต้แนวคิด”Back to Nature”บนพื้นที่กว่า 4 ไร่ 1 อาคาร สูง 30 ชั้น จำนวน 546 ยูนิต มูลค่า 2,000 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 3 ล้านบาท คาดจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2562 อย่างไรก็ตามบริษัทเตรียมเปิดพรีเซลล์ในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ซึ่งคาดว่า จะมียอดขายประมาณ 30% หรือกว่า 200 ยูนิต อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 4 นี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีก 2 โครงการได้แก่ ทำเลสาธุประดิษฐ์แล ทำเลวงแหวน พระราม 3 อีกด้วย
อย่างไรก็ดี บริษัทได้ปรับลดเป้ายอดขายในปีนี้มาอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท จากช่วงต้นปีที่ตั้งเป้ายอดขายอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท เนื่องบริษัทได้มีการปรับลดการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ลดลงเหลือ 10 โครงการ มูลค่า 14,000 ล้านบาท จากเดิมที่วางแผนเปิดโครงการไว้ทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่า 20,000ล้านบาท เพราะการซื้อที่ดินที่เกิดความล่าช้าทำให้บริษัทต้องลดแผนการเปิดโครงการลดลง และส่งผลต่อการปรับลดเป้ายอดขายในปีนี้
ด้านรายได้ในปีนี้บริษัทยังมั่นใจว่าทำได้ตามเป้าหมายทื่ตั้งไว้ 10,000 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกบริษัทมีรายได้อยู่ที่ 4,520 ล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยโอนมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ทยอยเข้ามาส่วนหนึ่ง จาก Backlog ทั้งหมด8,000-10,000 ล้านบาท ประกอบกับยังมีทยอยขายโครงการที่อยู่ในสต็อกเข้ามามาเสริม ซึ่งปัจจุบันบริษัทมูลค่าสต็อกทั้งหมดอยู่ที่8,000 ล้านบาท ขณะที่อัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยของบริษัทปัจจุบันอยู่ที่ 10-20% ทรงตัวจากปีก่อนและครึ่งปีแรกที่ผ่านมา