ด้วยปัจจัยบวกด้านเศรษฐกิจที่ดีขึ้น และภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในทิศทางที่ดี ผู้พัฒนาโครงการยังแข่งขันในการหาที่ดินในทำเลชั้นนำของกรุงเทพฯ เพื่อพัฒนาโครงการ ทำให้ราคาที่ดินต่อตารางวาทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งราคาคอนโดมิเนียมและค่าเช่า
นางสาวอลิวัสสา พัฒนาถาบุตร กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า ความต้องการที่ดินทำเลย่านใจกลางเมือง(ซีบีดี) ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้พัฒนาโครงการยังหาซื้อที่ดินเพื่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมและอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้จากการปล่อยเช่า เช่น อาคารสำนักงาน โรงแรม พื้นที่ค้าปลีก ทำให้ราคาที่ดินย่านซีบีดีที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าจะยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2560 ราคาที่ดินในบางทำเลปรับตัวสูงถึง 25-30%
นอกจาก การซื้อขายที่ดินครั้งที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของไทยคือ การร่วมทุนระหว่างกลุ่ม
เซ็นทรัลและฮ่องกงแลนด์ในการเข้าซื้อที่ดินสถานทูตอังกฤษด้วยราคา 420 ล้านปอนด์ (ตารางวาละ 2 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 19,000 ล้านบาท ) ในปีที่ผ่านมายังมีการซื้อขายที่ดินที่ทำสถิติราคาต่อตารางสูงสุด คือ การซื้อที่ดินขนาด 880 ตารางวาในซอยหลังสวน โดยบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ในราคา 3.1 ล้านบาทต่อตารางวา และยังมีที่ดินในซอยทองหล่อ 6 ซื้อ-ขายตารางวาละ 2.6 ล้านบาท ที่ดินสถานทูตออสเตรเลีย บนถนนสาทร ราคาขาย 1.7 ล้านบาท
“ราคาที่ดินจะขึ้นต่อไปอีกหรือไม่ขึ้นอยู่กับศักยภาพการลงทุนในแต่ละทำเล โดยในปี 2559-2560 ถือว่าราคาซื้อขายที่ดินในซีบีดีปรับขึ้นไปมาก โดยที่ดินแบบมีกรรมสิทธิ์ในทำเลซีบีดีนั้นเหลือจำนวนน้อยมากจะทำให้มีราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ราคาขายคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ปรับตัวสูงขึ้นด้วย”
สำหรับในปี 2561 คาดว่าราคาที่ดินจะปรับขึ้นโดยรวมประมาณ 10-15% โดยเฉพาะทำเลย่านใจกลางเมืองเริ่มหายาก ซึ่งราคาที่ดินที่ปรับสูงขึ้นจะส่งผลให้การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทำได้ยากมากขึ้น ดังนั้น ต้องออกแบบโปรดักต์และราคาให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมทั้งกำหนดราคาที่ตลาดสามารถซื้อได้ ซึ่งต้องไม่สูงจนเกินไป
นางสาวอลิวัสสา กล่าวอีกว่า ราคาขายคอนโดมิเนียมใหม่ในกรุงเทพฯ เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 9.2% ต่อปี โดยราคาเฉลี่ยสำหรับคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ ปัจจุบันอยู่ที่ 2.7 แสนบาทต่อตร.ม. หากเป็นทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาราคาเฉลี่ยจะเพิ่มเป็น 3.2 แสนบาทต่อตร.ม ส่วนบริเวณสวนลุมพินี ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.7 แสนบาทต่อตร.ม. ทำเลสุขุมวิทราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.55 แสนบาทต่อตร.ม. และสีลม สาทร ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.3 แสนบาทต่อตร.ม. ส่วนคอนโดฯไฮเอนด์ที่มีการรีเซลราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2.1 แสนบาทต่อตารางเมตร เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 7.4%.ต่อปี ในช่วงปี 2560 ที่ผ่านมาราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ 1.2 แสนบาทต่อตร.ม.
ในทำเลใจกลางเมืองและริมแม่น้ำเจ้าพระยา ราคาเฉลี่ย 2.7 แสนบาทต่อตร.ม.
โดยคาดราคาขายคอนโดใหม่ปีนี้ ปรับขึ้น 10-15% เฉลี่ย 2.8-2.9 แสนบาทต่อตร.ม. ขณะที่ดีมานด์ยังคงที่จากผู้ซื้อทั้งคนไทยและต่างชาติ รวมทั้งธนาคารผ่อนปรนเงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาก
คาดปี”61คอนโดเปิดใหม่ 6.5 หมื่นยูนิต
ทั้งนี้ คาดการณ์การเปิดตัวคอนโดโครงการใหม่ในย่านใจกลางเมืองและย่านมิดทาวน์ของกรุงเทพฯ ในปี 2561 จะเปิดใหม่ประมาณ 65,000 ยูนิต ใกล้เคียงกับปี 2561 โดยตลาดคอนโดมีซัพพลายอยู่ในตลาดประมาณ 6.2 แสนยูนิต แบ่งเป็น คอนโดในทำเลใจกลางเมือง 1.3 แสนยูนิต มีอัตราการเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 5.2 % ต่อปี มียอดขายเฉลี่ยอยู่ที่กว่า 70% และคอนโดในย่านชานเมือง 4.9 แสนยูนิต มีอัตราการเพิ่มขึ้นที่ 9.8% ต่อปี มียอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 63% นอกจากนี้ ยังมีซัพพลายที่จะสร้างเสร็จใจอนาคตอีกประมาณ 1.4 แสนยูนิต เป็นคอนโดใจกลางเมือง 3.2 หมื่นยูนิต และคอนโดชานเมืองประมาณ 1.1 แสนยูนิต
ต่างชาติแห่ร่วมทุน 25 โครงการ
นางสาวอลิวัสสา กล่าวต่อว่า สำหรับโครงการร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติจะมีจำนวนมากขึ้น เนื่องจาก ธนาคารไทยมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อในการพัฒนาโครงการใหม่ จึงทำให้ผู้พัฒนาโครงการต่างมองหาเงินลงทุนจากพันธมิตรต่างชาติ ในปี 2560 มีโครงการที่ร่วมทุนจำนวน 25 โครงการ มูลค่ารวมกันมากกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท จาก 4 โครงการในปี 2556 ส่วนใหญ่มักเป็นการร่วมทุนรายโครงการกับนักลงทุนจากญี่ปุ่นในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม และคาดว่าการลงทุนใหม่ๆ จะมีทั้งคอนโดมิเนียมและอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้อื่นๆ เช่น อาคารสำนักงาน
ส่วนนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยในปี 2560 มีสัดส่วนประมาณ 25% เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่มีสัดส่วน 22% โดยที่นักลงทุนจากจีน เข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมในไทยมากที่สุด 28% ฮ่องกง 14% และสิงคโปร์ 8% โดยในปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติที่ซื้อคอนโดมิเนียมผ่านซีบีอาร์อีมีจำนวนกว่า 900 รายการ มูลค่ารวม 1.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนหน้าที่มีการซื้อขายรวม 1.5 หมื่นล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการซื้อเพื่อลงทุน และคาดว่าผู้ซื้อชาวต่างชาติจะยังคงซื้อที่พักอาศัยในไทยทั้งระดับหรูและระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาทอย่างต่อเนื่อง