นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ มีอัตรการเติบโต แต่ตลาดเป็นของผู้ประกอบการรายใหญ่ เพียง 29 รายแรกครองส่วนแบ่งตลาดถึง 80% ดังนั้นรายกลางรายเล็กจึงต้องปรับตัวเพื่อไม่ทำตลาดแข่งกับรายใหญ่โดยตรง อาทิ การลงทุนพัฒนาบ้านหรูกลางเมือง ราคาประมาณ 20-50 ล้านบาทเพียงไม่กี่อยู่ยูนิต
อย่างไรก็ดี ฐานตลาดกลุ่มใหญ่ยังคงเป็นกลุ่มทาวน์โฮมราคา 2-3 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมระดับราคา 1 แสนบาทต่อตารางเมตร ที่ยังมีความต้องการในตลาดสูง
ด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะกลุ่ม GEN -Y และ Gen-X (30-40ปี)ยังไปได้ดี ตลาดกลุ่มนี้จะมีรายได้ประจำและรายได้เสริม รวมถึงกำลังซื้อจากต่างชาติยังคงดีต่อเนื่องทั้งจีนและญี่ปุ่นโดยเฉพาะจีนที่เข้ามาซื้อเพื่อลงทุน
ขณะที่ผู้ประกอบการเองต่างพัฒนาสินค้าเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มดังกล่าว แม้ว่าต้นทุนราคาที่ดินจะปรับสูงขึ้นมาก แต่จะต้องพัฒนาห้องชุดที่มีขนาดเล็กลง เพื่อขายในราคาทีลูกค้าสามารถซื้อหาได้ เดินหน้าตั้ง บ.พัฒนาเมืองคาดสิ้นปีจด 20 แห่ง
นายพรนิศ กล่าวต่อว่าปัจจุบันนักธุรกิจท้องถิ่นได้รวมตัวจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทพัฒนาเมืองรวม 14 แห่งและคาดว่าจะถึงสิ้นปี 2561 จะมีเพิ่มรวมที่ประมาณ 20 แห่ง
ขณะที่ล่าสุดได้มีการหารือกับการเคหะแห่งชาติโดยมีแนวโน้มจะมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทพัฒนาเมืองกับบริษัทแซมโก้ บริษัทลูกของการเคหะฯเพื่อดำเนินการพัฒนาโปรเจกต์ร่วมกันเพราะมีความคล่องตัวมากกว่าการเคหะฯ โดยจะเน้นเรื่องของการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน คาดว่าอีก 3 เดือนจะได้ความชัดเจน
ทั้งนี้จะเน้นการพัฒนาในจังหวัดที่มีความพร้อมอย่างเช่น เชียงใหม่ที่มีการนำร่องโครงการสมาร์ทบัส จากท่าอากาศยานนานาชาติเชียงใหม่ผ่านนิมมานเหมินท์และเมืองเก่า ซึ่งเป็นการดำเนินการโดยบริษัท รีเจียนนอล ทรานซิสท์ คอร์เปอร์เรชั่น (RTC) เป็นบริษัทร่วมทุนของบริษัทพัฒนาเมือง ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้บริหารเครือข่ายพัฒนาเมืองหลายจังหวัด เพื่อพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเขตเมืองและการพัฒนาเศรษฐกิจรอบพื้นที่สถานีขนส่งมวลชน(TOD)
สำหรับในปีนี้จะมีการขยายร่วมมือไม่ว่าจะกับกรมการขนส่งทางบก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พัฒนาระบบขนส่งมวลชนในหัวเมืองหลัก 5 แห่ง เช่น สระบุรี ระยอง และอุดรธานี เป็นต้น
อย่างไรก็ดีมองว่าเรื่องของบิ๊กดาต้ามีความสำคัญและจำเป็นสำหรับการพัฒนาเมืองทั้งนี้เห็นว่า ควรมีดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อให้บริษัทพัฒนาเมืองสามารถนำข้อมูลเหล่านี้พัฒนาแพลตฟอร์ม สร้างแอพพลิเคชั่นขึ้นมาใช้งานร่วมกันซึ่งจะทำให้สามารถติดตาม คำนวณ ประเมินผลโครงการที่จะพัฒนาว่ามีความคุ้มค่ากับการลงทุนหรือไม่ เป็นต้น อีกทั้งประชาชนในพื้นที่ควรมีส่วนรวมแชร์ข้อมูลสร้างการรับรู้ร่วมกันเพื่อแก้ปัญหาเมืองและพัฒนาเมืองไปด้วยกัน