อนันดาฯ เผยยอดขาย 7 โครงการพร้อมอยู่ เกินกว่า 90% มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท
เดินหน้าครึ่งปีหลังอีก 5 โครงการสร้างเสร็จใหม่พร้อมโอน
ดันยอดขาย ยอดโอน ของบริษัทตามเป้าที่วางไว้
บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า ประกาศความสำเร็จยอดขาย 7 โครงการพร้อมอยู่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 21,000 ล้านบาท มียอดขายเกินกว่า 90% มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท เตรียมจ่อคิวรอปิดการขาย ชี้ดีมานต์ความต้องการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมอยู่ติดรถไฟฟ้ายังมีต่อเนื่อง พร้อมเผยครึ่งปีหลังอีก 5 โครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่พร้อมโอนเข้ามาช่วยหนุนยอดขายและยอดโอนของบริษัทให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้
ดร. ชัยยุทธ ชุณหะชา ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทประกาศความสำเร็จจากการ Sold Out โครงการแอชตัน จุฬา-สีลม และ ไอดีโอ คิว สยาม-ราชเทวีไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทยังมีโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่อีก 7 แห่งที่ปัจจุบันมียอดขายเกินกว่า 90% มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งรอที่จะปิดการขายเป็นลำดับต่อไป ได้แก่ โครงการคิว ชิดลม-เพชรบุรี โครงการไอดีโอ โมบิ อโศก โครงการเวนิโอ สุขุมวิท 10 โครงการไอดีโอ พหลโยธิน-จตุจักร โครงการไอดีโอ โอทู โครงการไอดีโอ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ และโครงการเอลลิโอ เดล มอสส์ ซึ่งทั้ง 7 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวมกว่า 21,000 ล้านบาท ทำให้เห็นว่าความต้องการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมอยู่บนทำเลศักยภาพยังคงมีอย่างต่อเนื่อง โดยกระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าเนื่องมาจากรูปแบบของโครงการที่มีเอกลักษณ์ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมาย และทำเลที่ตั้งใกล้รถไฟฟ้าและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ช่วยเสริมมูลค่าเพิ่มของสินทรัพย์ อีกทั้งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของภาครัฐที่มีการขยายการลงทุนในโครงข่ายระบบขนส่งทางรางอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนนี้จะเข้ามาช่วยผลักดันยอดขายและยอดโอนของบริษัทให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 บริษัทยังมีโครงการคอนโดมิเนียมอีก 5 ทำเลที่จะสร้างเสร็จพร้อมโอน ได้แก่ โครงการแอชตัน อโศก-พระราม9 โครงการไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 โครงการไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์ โครงการ ไอดีโอ รัชดา-สุทธิสาร และโครงการเอลลิโอ สาทร-วุฒากาศ มูลค่าโครงการรวมกว่า 21,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเข้ามาช่วยเพิ่มเติมในส่วนของยอดโอนของบริษัทในปี 2563 ได้อีกกว่า 8,000 ล้านบาทอีกด้วย
“อย่างไรก็ตามมองว่าปัจจุบันเป็นโอกาสดีของผู้บริโภคที่จะสามารถซื้อที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพในราคาที่คุ้มค่าและยังเป็นทางเลือกในการสร้างผลตอบแทนจากอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” ดร. ชัยยุทธ กล่าว