“เอกา โกลบอล” จับตาภาษีคาร์บอนโจทย์ใหม่ส่งออกไทย
ชูกรีนโปรดักส์ ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืน
ตอกย้ำเบอร์หนึ่งตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร
“เอกา โกลบอล” มองสถานการณ์การค้าโลกตื่นตัวรับวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อม ตลาดโลกเดินหน้าลุยเก็บภาษีคาร์บอนสินค้าข้ามแดน ความท้าทายใหม่ของภาคธุรกิจส่งออก แนะผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยเตรียมความพร้อมสู้ศึก ชูสินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นโรดแมป มุ่งเป้าหมายสู่ความยั่งยืน ตอกย้ำตำแหน่งผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารในเวทีโลก ยิ้ม Q3-4 ออเดอร์ล้น เร่งตั้งโรงงานใหม่ที่อินเดียในปีนี้
นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) เปิดเผยว่า สถานการณ์การค้าโลกขณะนี้ ภาคธุรกิจทั่วโลกต่างตื่นตัวในการขับเคลื่อนธุรกิจและเศรษฐกิจสู่เป้าหมายเพื่อความยั่งยืน พร้อมกำหนดมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มข้นเพิ่มขึ้น เพื่อรับมือกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการค้าระหว่างประเทศ โดยมีหลายประเทศทั่วโลกเริ่มหันมาใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนสินค้าข้ามแดน (Carbon Border Tax) จากสินค้านำเข้าที่ผลิตจากต่างประเทศที่ไม่มีการควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะในประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ อย่างสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) สวีเดน ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ เอเชีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เป็นต้น รวมถึงไทย ก็กำลังเร่งศึกษาการเก็บภาษีคาร์บอนเช่นกัน เพื่อผลักดันไทยเป็น Net Zero ลดก๊าซคาร์บอนให้เป็นศูนย์ในปี 2065
“ตลาดโลกเริ่มพูดถึงประเด็นการเรียกเก็บภาษีคาร์บอนมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดยุโปร อเมริกา ซึ่งถือเป็นปัจจัยท้าทายใหม่ของส่งออกไทยที่ต้องตระหนักและต้องเร่งมือปรับตัว โดยสินค้ากลุ่มเสี่ยงแรก ๆ ที่ได้รับผลกระทบ คือ อลูมิเนียม เหล็ก ซีเมนต์ เคมีภัณฑ์ ฯลฯ แต่มั่นใจว่าในอนาคตอันใกล้อาจจะมีการเพิ่มรายการสินค้ามากขึ้นอีก โดยคาดว่าจะขยายไปยังกลุ่มสินค้าพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง เช่น บรรจุภัณฑ์พลาสติก บรรจุภัณฑ์เครื่องดื่ม และบรรจุภัณฑ์อาหาร เป็นต้น ดังนั้นผู้ประกอบการส่งออก ทั้งรายใหญ่ และ SME ไทย จำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมอย่างสมบูรณ์รอบด้าน ทั้งการวางโมเดลธุรกิจ การคินค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน การทำธุรกิจแบบ Low Carbon เพื่อจะก้าวได้ทันสถานการณ์โลก และสามารถแข่งขันในตลาดการค้าบนเวทีโลกได้”
ทั้งนี้ เอกา โกลบอล มีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจสู่การเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมและเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อย่างสมบูรณ์ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) เช่นกัน โดยมุ่งเน้นในงานด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) ออกแบบบรรจุภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น พร้อมกำหนด “กรีนโปรดักส์” เป็นโรดแมปธุรกิจในปี 2565 โดยเปิดตัวสินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1) บรรจุภัณฑ์ Bioplastic (PLA) ที่ผลิตจากวัตถุดิบส่วนหนึ่งที่มาจากธรรมชาติ เช่น มันสัมปะหลัง ข้าวโพด หรือ อ้อย เป็นต้น 2) บรรจุภัณฑ์ Biodegradable ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติทั้งหมด และสามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ 3) บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (PCR) หรือ เรซิน รีไซเคิล เพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า นอกเหนือจากที่บรรจุภัณฑ์ของบริษัทฯ ทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ สามารถรีไซเคิลได้ 100%
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 3-4/2565 บริษัทฯ ได้รับผลบวกอย่างต่อเนื่องจากเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตใหม่หลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 ทำให้มีความต้องการบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืนและบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีออเดอร์จากลูกค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้นในทุกตลาดทั่วโลก ทั้งในอเมริกา ยุโรป จีน อินเดีย และไทย จนล้นกำลังการผลิตสูงสุด 2,850 ล้านชิ้นต่อปีแล้ว ทั้งนี้ บริษัทฯ จึงอยู่ระหว่างเตรียมแผนงานเพิ่มกำลังการผลิตในโรงงานที่ไทย และเตรียมเร่งก่อสร้างโรงงานผลิตแห่งใหม่ที่อินเดีย ให้แล้วเสร็จและสามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี 2565