แลนด์มาร์ค รุกขยายโฮมออฟฟิศ”ดิ อิลิเมนท์”เฟส2 รับดีมานด์ทำเลพระราม9แหล่งธุรกิจใหม่พุ่ง

ด้วยซัพพลาย(Supply)ที่ดินในเมืองกรุงเทพชั้นในที่จะถูกนำมาพัฒนานั้นเหลือน้อย อีกทั้งราคาได้ขยับเพิ่มขึ้นสูง ส่งผลให้ทั้งราคาของ Residential และ Office ให้เช่าในเมืองปรับราคาขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 10 % และ5 % (ตามลำดับ) ดังนั้นโฮมออฟพิศ ( Home Office) ที่อยู่ตามรอยต่อพื้นที่กรุงเทพชั้นในนั้นจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ

นายธนะสิทธิ์ เฟื่องไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์มาร์ค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมเปิดขายโครงการ”ดิ เอเลเมนท์ พระราม 9″ เฟส 2 พัฒนาเป็นโฮมออฟฟิศพรีเมี่ยม สูง 5 ชั้น รวม 27 ยูนิต ออกแบบสไตล์โมเดิร์น ภายใต้คอนเซ็ปท์ “home office design Modern Luxury” พร้อมลิฟท์ส่วนตัว สมารถรองรับใจกลางพระราม 9 ห่างจาก เดอะ ไนน์ 150 เมตร บนพื้นที่โครงการรวม 4 ไร่ มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท สามารถรองรับพนักงานได้ประมาณ 25-30 คน ที่จอดรถ 6-8 คัน หลังจากบริษัทได้ประสบความสำเร็จการขายในเฟสแรกภายในเดือน 4 เดือนขายได้ถึง 11 ยูนิต จากจำนวน 14 ยูนิต จากกลุ่มเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ
ส่วนในเฟส 2 จะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้น เริ่มต้นที่ 26.9 ล้านบาท โดยบริษัทได้ทยอยปรับขึ้นจาก 22.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาเมื่อเปิดขายปีแรก โดยเป็นไปตามกลไกตลาดและราคาที่ดินในย่านดังกล่าวที่ขยับตัวสูงขึ้น
ส่วนงานก่อสร้างแบ่งเป็น 2 เฟส สำหรับเฟสแรกการก่อสร้างจะแล้วเสร็จพร้อมโอนได้ปลายพ.ค.นี้ ส่วนเฟส 2 จะโอนได้เดือนเม.ย.ปี 2562


” พบว่าพื้นที่ย่านบริเวณนี้ มีคนทำออฟฟิศในบ้านค่อนข้างมากแต่เป็นการดัดแปลงพื้นที่ตัวบ้านมาเป็นออฟฟิศซึ่งทำให้พื้นที่ใช้สอยไม่ลงตัวนัก ผมมองว่าคนที่ทำธุรกิจ size m ที่มีกำลังซื้อและอยากขยายธุรกิจ หรือมองหา ที่ทำงานในทำเลที่ดีและอยู่อาศัยในที่เดียวกันอย่างลงตัวพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันนั้นยังมีอีกมากและตัดสินใจไม่ยากที่จะเปลี่ยนจากการจ่ายค่าเช่าเป็นผ่อนกับทางธนาคารเพื่อซื้อขาด” นายธนะสิทธิ์ กล่าว
สำหรับโครงการ ดิ อิลิเมนท์ พระราม 9 เกิดจากความตั้งใจที่จะทำให้โครงการนี้ตอบโจทย์สำหรับนักธุรกิจรุ่นใหม่ผู้ที่ต้องการขยายธุรกิจ ในทำเลที่มีศักยภาพแบ่งพื้นที่ใช้สอยเพื่อทำงานและอยู่อาศัยอย่างลงตัวรองรับพนักงานได้ประมาน 25-30 คน เริ่มจากชั้น1 เป็นที่จอดรถซึ่งจอดรถได้ถึง 6-8 คันและส่วนของ Reception เพื่อใช้ต้อนรับผู้มาติดต่อ ชั้น 2 ออกแบบให้มีระเบียงกว้างกระถางต้นไม้ที่มีความลึกพอปลูกต้นไม้ใหญ่ได้ เพื่อบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติที่ร่มรื่นในส่วนชั้นสำนักงาน รวมถึง ชั้น3,4 พื้นที่ ภายในที่เว้นไว้สำหรับปรับพื้นที่ให้เข้ากับความต้องการการใช้งานให้ตรงกับลักษณะของธุรกิจที่ทางลูกค้าต้องการ ชั้น 5 หรือชั้นบนสุดที่เป็นส่วน Master Bedroom จะมีระเบียงขนาดใหญ่สำหรับจัดสวนชั้นดาดฟ้า เพื่อพักผ่อนหย่อนใจในสวนได้อย่างเป็นส่วนตัว


นายธนะสิทธิ์ กล่าวต่อว่า บริษัทแม้จะเป็นรายเล็ก แต่ไม่มองว่ามีความเสียเปรียบในเรื่องของแบรนด์ เพราะในที่สุดลูกค้า จะเลือกซื้อจากทำเล และความแตกต่างจากคู่แข่งมากกว่า ส่วนแผนธุรกิจจากนี้บริษัทยังคงมุ่งพัฒนาแต่ตลาดลักซ์ชัวรี่ ราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป เพราะมองว่าเป็นตลาดที่มีความต้องการ แต่สินค้าในตลาดมีน้อย โดยบริษัทสนใจทำเลทองหล่อและสุขุมวิท ซึ่งขณะนี้กำลังหาซื้อที่ดินอยู่ ส่วนรูปแบบโครงการ เป็นไปได้ทั้งโฮมออฟฟิศ และคอนโดมิเนียม ขึ้นอยู่แปลงที่ดินที่ได้มา

—โฮมออฟฟิศซัพพลายน้อย 2 เดือนเปิดแค่ 8 ยูนิต

ด้านนายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ที่ปรึกษาด้านการตลาดและการขาย กล่าวว่า ทำเลบริเวณพระราม 9, รามคำแหง, ประดิษฐ์มนูธรรม (เอกมัย-รามอินทรา)และศรีนครินทร์ นับเป็นทำเลศักยภาพแห่งใหม่ของการพัฒนาโฮมออฟฟิศ เนื่องจากใกล้ตัวเมืองและเป็นเขตรอยต่อของย่านธุรกิจ ย่านรัชดา, พระราม9, ทองหล่อและสุขุมวิท อีกทั้งใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์, มอเตอร์เวย์, ทางด่วนฉลองรัช และทางด่วนศรีรัช โดยทำเลนี้ยังใกล้ห้างสรรพสินค้า เดอะไนน์พระราม9, เดอะมอลล์รามคำแหง และโรงพยาบาลชั้นนำอย่าง โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์, โรงพยาบาลรามคำแหง รวมถึงสถานศึกษาสำคัญ เช่น มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต, มหาวิทยาลัยรามคำแหง, มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด, โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าถึง 3 สายที่เข้ามาเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับทำเลนี้ ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง (คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2563), รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน บางซื่อ-หัวหมาก (คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2563) และรถไฟฟ้าสายสีส้ม ตลิ่งชัน-มีนบุรี (คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2566)


สำหรับอุปทานตลาดโฮมออฟฟิศบริเวณพระราม 9 – รามคำแหง – ประดิษฐ์มนูธรรม – ศรีนครินทร์ จากปี 2554 จนถึง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ปี 2561 มีจำนวนอุปทานสะสมทั้งสิ้น 1,461 หน่วย โดยปีที่มีอุปทานเข้าสู่ตลาดมากที่สุดในปี 2557 ซึ่งมีโครงการโฮมออฟฟิศเปิดใหม่ถึง 512 หน่วย จากผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายเล็กในตลาด อย่างไรก็ตาม อุปทานใหม่ตั้งแต่ปี 2558 – 2560 อยู่ในระดับคงตัวเฉลี่ย 215 หน่วยต่อปี ในขณะที่ 2 เดือนแรกของปี 2561 นั้น มีอุปทานใหม่เข้ามาในพื้นที่ศึกษาเพียง 8 ยูนิต เป็นที่น่าสังเกตว่าเฉพาะปี 2557 อุปทานกว่า 60% อยู่ในพื้นที่รามคำแหง-ประดิษฐ์มนูธรรม คาดการว่าเกิดจากความตื่นตัวของผู้ประกอบการที่ได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มในช่วงสองปีก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเจาะลึกลงไปที่อุปทานใหม่เฉพาะโฮมออฟฟิศระดับไพร์ม ซึ่งมีราคาขายต่อยูนิต 20 ล้านบาทขึ้นไป มีเพียง 149 ยูนิตเท่านั้นที่เปิดตัวระหว่างปี 2554 – ก.พ. 2561 โดย 47% ของอุปทานใหม่ทั้งหมดตั้งอยู่ในทำเลพระราม 9 ในขณะที่อีก 42% และ 11% ตั้งอยู่ในทำเลรามคำแหง-ประดิษฐ์มนูธรรม และศรีนครินทร์ ตามลำดับ ซึ่งโฮมออฟฟิศระดับไพร์มนี้ทั้งหมดตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังจุดต่างๆของเมืองได้อย่างสะดวกสบาย รายล้อมไปด้วยสาธารณูปโภคสาธารณูปการครบครัน มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 450 – 1,140 ตร.ม. เนื้อที่ดินขนาดตั้งแต่ 39 – 120 ตร.ว.ต่อยูนิต และมีหน้ากว้างเฉลี่ย 6-11 ม. ส่วนใหญ่มีลิฟต์โดยสาร สวน รวมถึงมีพื้นที่จอดรถได้มากกว่า 6 คันต่อยูนิต


ด้านอุปสงค์โฮมออฟฟิศที่เปิดขายในย่านพระราม 9-รามคำแหง-ประดิษฐ์มนูธรรม-ศรีนครินทร์นั้น ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากผู้ซื้อ โดยโครงการที่เปิดตัวระหว่างปี 2556 – เดือนกุมภาพันธ์ปี 2561 มีอัตราการขายเฉลี่ย ณ ปัจจุบันประมาณ 80% ในขณะที่โครงการที่เปิดตัวระหว่างปี 2554 – 2555 นั้นปิดไปการขายไปหมดแล้ว ส่วนโครงการที่เปิดตัวใหม่ในปี 2560 มีอัตราการขายเฉลี่ยประมาณ 70% และด้านแนวโน้มตลาดที่บ่งชี้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทโฮมออฟฟิศเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆสำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการมีสำนักงานขนาดเล็กของตนเอง ในทำเลใกล้ศูนย์กลางธุรกิจและสิ่งอำนวยความสะดวกสบายอื่นๆ