ไรมอน แลนด์ ผนึกกำลัง “Mesa Thai” เสริมความแข็งแกร่ง ต่อยอดธุรกิจ ครองแชมป์ผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่

ไรมอน แลนด์ ผนึกกำลัง “Mesa Thai” เสริมความแข็งแกร่ง ต่อยอดธุรกิจ
ครองแชมป์ผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่
 

นายกฤษณ์ ณรงค์เดช ประธานคณะกรรมการ บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน)  หรือ RML  ผู้นำการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทมีกลุ่มผู้ถือหุ้น ใหม่ชื่อ บริษัท เมซ่า ไทย จำกัด (Mesa Thai Pte. Ltd.)  เข้าซื้อหุ้นจำนวน 893 ล้านหุ้น รวม 21.4%   ทำให้ เมซ่า ไทย กลายเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 2 ของบริษัทรองจากบริษัท เคพีเอ็น แลนด์ จำกัด

บริษัท เมซ่า ไทย จำกัด โดยมร. ควี ลีออง เต็ก (Mr. Kwee Liong Tek) ซึ่งเป็นเจ้าของ และประธานกรรมการบริหารของกลุ่มบริษัท พอนเทียค แลนด์ จำกัด (Pontiac Land Pte. Ltd.)  มีธุรกิจในเครือมากมาย ประกอบด้วยการให้บริการอาคารสำนักงาน โรงแรม และรีสอร์ท รวมถึงโครงการการพัฒนาที่พักอาศัย  และศูนย์การแพทย์ อาทิ ริทซ์-คาร์ลตัน มิลเลนเนีย สิงคโปร์ (Ritz-Carlton Millenia Singapore),       คอนราด เซนเทนเนียล สิงคโปร์ (Conrad Centennial Singapore), รีเจนท์ ซิดนีย์ (Regent Sydney), มิลเลนเนีย ทาวเวอร์ (Millenia Tower), เซนเทนเนียล ทาวเวอร์ (Centennial Tower), แคมเดน เมดิคอล เซ็นเตอร์ ในสิงคโปร์ (Camden Medical Centre, Singapore), 53 เวสท์ 53 ในนิวยอร์ก (53 West 53, New York) และ   เดอะ โคลอนนาดด์ ในสิงคโปร์ (The Colonnade, Singapore)

บริษัท เมซ่า ไทย จำกัด ได้ออกแถลงการณ์ว่า “บริษัทรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาร่วมเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นหลักของไรมอน แลนด์  เรามีความเชื่อมั่นในการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศไทยเป็นอย่างมาก     และเล็งเห็นถึงศักยภาพการเติบโตในการทำธุรกิจของไรมอน แลนด์  คณะผู้แทนของเราจะทำงานร่วมกับ       นายกฤษณ์ ณรงค์เดช ประธานคณะกรรมการ และกรรมการท่านอื่น ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อคงความเป็นผู้นำทางด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ และจะร่วมกันเดินหน้านำพาให้บริษัทประสบความสำเร็จยิ่ง ๆ ขึ้น”

นายกฤษณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การที่เมซ่า ไทย เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผู้ถือหุ้นหลักของไรมอน แลนด์       จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการครองตำแหน่งผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่       และความร่วมมือดังกล่าวจะช่วยเปิดโอกาสในการขยายธุรกิจไปสู่กลุ่มธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต”