ออริจิ้น เปิดบ้าน-คอนโดใหม่ อีก 11,180 ล้าน บุกตลาด Pet Family Condo-บ้านเดี่ยว คาดมาตรการรัฐหนุนยอดโอน Q2/2567 โครงการราคาต่ำ 7 ล้านในพอร์ตกว่า 80%

ออริจิ้น เปิดบ้าน-คอนโดใหม่ อีก 11,180 ล้าน บุกตลาด Pet Family Condo-บ้านเดี่ยว
คาดมาตรการรัฐหนุนยอดโอน Q2/2567 โครงการราคาต่ำ 7 ล้านในพอร์ตกว่า 80%

 

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ หรือ ORI เล็งเปิดบ้านจัดสรร-คอนโดมิเนียมใหม่อีก 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 11,180 ล้าน เน้นเจาะกลุ่ม Pet Family Condo-คอนโดหัวเมืองเศรษฐกิจ-บ้านเดี่ยว-บ้านแฝด ขึ้นแท่นผู้นำผู้พัฒนาคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ ไตรมาส 2/2567 จ่อโอนกรรมสิทธิ์โครงการใหม่เพิ่มอีก 5 โครงการ โดยคอนโดมิเนียม 3 โครงการมีแบ็คล็อกแล้วกว่า 80% เผยแบ็คล็อกแกร่ง ณ สิ้นไตรมาส 1/2567 กว่า 46,517 ล้าน มีสินค้าราคาต่ำกว่า 7 ล้าน เป็นสัดส่วนกว่า 80% ของ Inventory ทั้งหมด คาดมาตรการรัฐ หนุนยอดโอนกรรมสิทธิ์พุ่ง 

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 2/2567 (เม.ย.-มิ.ย.67) บริษัทมีแผนเปิดโครงการคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรใหม่ในเครือรวม 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 11,180 ล้านบาท สำหรับกลุ่มคอนโดมิเนียม ภายใต้บริษัท ออริจิ้น เวอร์ติเคิล คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ORIGIN VERTICAL มี 5 โครงการ แบ่งเป็น กลุ่มโครงการคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ ภายใต้แนวคิด Origin Pet Family จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ 1.ออริจิ้น เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ (Origin Place Taopoon Interchange) มูลค่า 2,300 ล้านบาท 2.ออริจิ้น เพลส แจ้งวัฒนะ (Origin Place Chaengwattana) มูลค่า 2,030 ล้านบาท 3.ดิ ออริจิ้น เศรษฐบุตร สเตชั่น (The Origin Setthabut Station) มูลค่า 1,400 ล้านบาท และกลุ่มคอนโดมิเนียมในหัวเมืองท่องเที่ยวและหัวเมืองเศรษฐกิจ 2 โครงการ ได้แก่ 1.ออริจิ้น เพลส เซ็นเตอร์ ภูเก็ต (Origin Place Centre Phuket) มูลค่า 1,450 ล้านบาท และ 2.ดิ ออริจิ้น ศรีราชา (The Origin Sriracha) มูลค่า 750 ล้านบาท

“แนวโน้มกลุ่มผู้ซื้อคนรุ่นใหม่ขณะนี้ ให้ความสำคัญกับเทรนด์เลี้ยงสัตว์ในที่อยู่อาศัยมากขึ้น ภาพรวมตลาดหัวเมืองต่างจังหวัดก็ยังมีการตอบรับที่ดี เราจึงเลือกเปิดคอนโดมิเนียมด้วยเซ็กเมนท์ที่แตกต่าง ในทำเลที่มีกลุ่มลูกค้าหลากหลายและกำลังซื้อยังแข็งแรง เช่น ในทำเลเตาปูน และแจ้งวัฒนะ เป็นรายแรกที่พัฒนาโครงการคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ในทำเลดังกล่าว ขณะเดียวกัน ภูเก็ตและศรีราชาเป็น 2 ทำเลที่ยังมีความต้องการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มลูกค้าซื้อเพื่ออยู่เอง และซื้อเพื่อลงทุนระยะยาว รวมถึงมีดีมานด์จากตลาดต่างชาติ โดยโครงการที่เปิดตัวในปีที่แล้วที่ภูเก็ต รวมถึงโครงการในต่างจังหวัดปีนี้ที่เปิดตัวไปแล้ว 2 โครงการ คือ โซ ออริจิ้น บางเทา บีช และดุสิต สวีท เรสซิเดนเซส เขาใหญ่ ที่มียอดขายสะสมส่วนที่เปิดขายแล้วเฉลี่ยกว่า 74%” นายพีระพงศ์ กล่าว

สำหรับกลุ่มบ้านจัดสรรภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ให้ความสำคัญกับการเปิดโครงการมิกซ์โปรดักท์ที่ผสมผสานระหว่างบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดในโครงการเดียว เน้นเจาะทำเลฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นทำเลที่ได้รับการตอบรับดีตั้งแต่ปีที่ผ่านมา รวม 2 โครงการ ได้แก่ 1. บริทาเนีย เวสต์เกต (Britania Westgate) มูลค่า 2,600 ล้านบาท และ 2.บริทาเนีย ราชพฤกษ์ 345 (Britania Ratchaphruek 345) มูลค่า 650 ล้านบาท

นายพีระพงศ์​ กล่าวอีกว่า ไตรมาส 1/2567 (ม.ค.-มี.ค.67) บริษัทมีรายได้ 3,213 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 464 ล้านบาท โดยมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) ณ สิ้นไตรมาสดังกล่าวกว่า 46,571 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 2/2567 นี้ มีโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จใหม่ที่จะทยอยโอนกรรมสิทธิ์เป็นครั้งแรกรวม 5 โครงการ ประกอบด้วย 1.โซ​ ออริจิ้น เกษตร อินเตอร์เชนจ์ (SO Origin Kaset Interchange) 2.ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ นนทบุรี สเตชั่น (Origin Plug & Play Nonthaburi Station) 3.ออริจิ้น เพลย์ ศรีอุดม สเตชั่น (Origin Play Sriudom Station) 4.บริทาเนีย ราชพฤกษ์ 345 (Britania Ratchaphruek 345) และ 5.บริทาเนีย เวสต์เกต (Britania Westgate) โดยคอนโดมิเนียม 3 โครงการดังกล่าว มีแบ็คล็อกแล้วกว่า 80%

ทั้งนี้ มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐที่ประกาศ ตั้งแต่ เม.ย.ที่ผ่านมา ทั้งการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2% เหลือ 0.01% การลดค่าจดทะเบียนการจำนอง อสังหาริมทรัพย์จาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยกระตุ้นผู้บริโภคให้ตัดสินใจซื้อรวมถึงตัดสินใจโอนกรรมสิทธิ์โครงการที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น โดยปัจจุบัน บริษัทมีสินค้ารอการขาย (Inventory) ทั้งกลุ่มโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและโครงการพร้อมอยู่ ในระดับราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท เป็นสัดส่วนถึงราว 80% ของสินค้า Inventory ทั้งหมด

“เศรษฐกิจภาพรวม ยังมีหลายปัจจัยที่ต้องติดตาม แต่เราก็เห็นสัญญาณต่างๆ ที่ค่อยๆ ดีขึ้น ทั้งการออกมาตรการกระตุ้นอสังหาฯของภาครัฐ และแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ชะลอตัวลง เราเองจะยังคงเดินหน้าพัฒนาบ้านและคอนโดที่มีนวัตกรรม มีฟังก์ชันตอบโจทย์คนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงจะมีกิจกรรมทางการตลาดใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมากขึ้น” นายพีระพงศ์ กล่าว