ฮาบิแทท กรุ๊ป เตรียมผุด 2 โครงการใหญ่ครึ่งปีหลัง มูลค่ากว่าพันล้านบาท เจาะตลาดไฮเอนด์
ฮาบิแทท กรุ๊ป มั่นใจตลาดอสังหาฯ ระดับพรีเมี่ยมครึ่งปีหลังไปได้สวย บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าตามแผนงาน เตรียมเปิด 2 โครงการใหญ่ในช่วงครึ่งปีหลัง 2560 ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมในทำเลวงศ์อมาตย์ พัทยา และโครงการบ้านเพื่ออยู่อาศัยระดับลักซัวรี่ ในทำเลร่วมฤดี กรุงเทพฯ มูลค่าการลงทุนรวมกว่าพันล้านบาท
นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด หนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมเพื่อการลงทุน เปิดเผยความคืบหน้าในการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 ว่า “ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังคงเดินหน้าตามแผนการลงทุนปี 2560 มูลค่า 2.5 พันล้านบาท โดยบริษัทฯ ยังคงโฟกัสเป้าหมายการพัฒนาโครงการอยู่ในทำเลพัทยา จำนวน 6 โครงการ ซึ่งทุกโครงการจะอยู่ในรูปแบบที่อยู่อาศัยและคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมเพื่อการลงทุน ที่การันตีผลตอบแทนจากค่าเช่าในอัตรา 7% ต่อปี ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยผู้ซื้อจะได้รับสิทธิ์ในการเข้าพักในโครงการจำนวน 14 วันต่อปีและมีการบริหารจัดการการเช่าโดยเครือโรงแรม 5 ดาวที่ได้มาตรฐานระดับโลก”
โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ในทำเลพัทยา จำนวน 3 โครงการอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ โครงการครอสทู พัทยา โอเชียนเฟียร์ (X2 Pattaya Oceanphere) โครงการเบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา (Best Western Premier Bayphere Pattaya) และโครงการบลูเฟียร์ พัทยา แมเนจบาย เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ คอลเล็คชั่น (Bluphere Pattaya Managed by BW Premier Collection) โดยสามารถปิดยอดการขายทุกโครงการรวมเฉลี่ยแล้วกว่า 70% ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงโครงการครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์ (X2 Vibe Pattaya Seaphere) ที่สามารถปิดการขายได้ภายใน 6 เดือนแรกและเตรียมพร้อมเปิดให้บริการได้ในช่วงปลายปีนี้ และโครงการ เดอะวิลล์ จอมเทียน โครงการแรกของฮาบิแทท กรุ๊ป ที่ปิดการขาย 100% ได้ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี ซึ่งโครงการฯ ได้เข้าสู่โปรแกรมการลงทุน ตั้งแต่ปี 2558 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“พัทยา ยังคงเป็นทำเลยุทธศาสตร์ของฮาบิแทท กรุ๊ป เนื่องจากเป็นทำเลที่มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีศักยภาพมาก ซึ่งมีแรงขับเคลื่อนมาจากจำนวนการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว โดยในปี 2559 มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเดือนละกว่า 78% และเป็นทำเลเดียวที่มีนักท่องเที่ยวเต็มตลอดทุกฤดูกาล นอกจากนี้ ด้วยนโยบายส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกของภาครัฐ และการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็ค อาทิ สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งมีเป้าหมายในการรองรับจำนวนผู้โดยสารจำนวน 1.2 ล้านคนจาก 700,000 คนต่อปี และท่าเรือสัตหีบ ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางได้ 1-2 ชั่วโมง รวมไปถึงมอร์เตอร์เวย์สายใหม่สู่ระยอง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะยิ่งส่งผลในเชิงบวกต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักลงทุนให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเหล่านี้ยังส่งผลต่อราคาที่ดินในพัทยาให้พุ่งสูงขึ้นอีก โดยเฉพาะในทำเลวงศ์อมาตย์ และนาจอมเทียน ที่เป็นทำเลที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายให้ความสนใจเป็นอันมากรวมถึงฮาบิแทท กรุ๊ป เองที่มีทำเลส่วนใหญ่ใน 2 ทำเลยุทธศาสตร์นี้
เพื่อเตรียมรองรับการขยายตัวในพื้นที่นี้ เนื่องจากมั่นใจว่า จะสามารถตอบโจทย์ด้านการลงทุนและการท่องเที่ยวให้แก่นักลงทุน และนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี”นายชนินทร์กล่าว
สำหรับแผนการลงทุนในครึ่งปีหลังของฮาบิแทท กรุ๊ป เตรียมเปิดโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท โดยยังคงปักหมุดที่ทำเลพัทยา ซึ่งถือเป็นทำเลยุทธศาสตร์ของฮาบิแทท กรุ๊ป จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 192 ยูนิต ภายใต้พื้นที่ 1 ไร่ ตั้งอยู่ในทำเลวงศ์อมาตย์ พัทยา มูลค่ากว่า 800 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวโครงการในไตรมาส 4 ของปี 2560 นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดตัวโครงการที่พักอาศัย อีกหนึ่ง โครงการ ในไตรมาส 4 ของปีนี้เช่นเดียวกัน โดยเป็นโครงการบ้านพักอาศัยระดับลักซัวรี่ ขนาดพื้นที่ไม่เกิน 1 ไร่ ในทำเลร่วมฤดี มูลค่ากว่า 250 ล้านบาท โดยมั่นใจว่า ทั้งสองโครงการดังกล่าวจะได้รับการตอบรับที่ดีเนื่องจากตลาดบ้านพักและคอนโดมิเนียมระดับลักซัวรี่ ในทำเลใจกลางกรุงเทพฯ ยังเป็นที่ต้องการของทั้งผู้ซื้อชาวไทย และชาวต่างประเทศเป็นอันมาก
“ฮาบิแทท กรุ๊ป มั่นใจว่า การดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากนโยบายด้านเศรษฐกิจและการลงทุนด้านต่างๆ ที่มีความชัดเจนขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการกลับมาเดินหน้าลงทุนในโครงการต่างๆ ไว้ตามแผนงาน รวมถึง จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มีแนวโน้มจะซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น
จะกลายเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายที่น่าจับตามองต่อไป ทั้งนี้ ฮาบิแทท กรุ๊ป คาดว่า ในปี 2560 บริษัทฯ จะสามารถ
ปิดยอดขายพรีเซลล์ได้จำนวนรวมกว่า 1,500 ล้านบาท และสามารถมีรายได้จากค่าเช่าเพิ่มขึ้น 20% ในอีก 3 ปีข้างหน้านี้ เพื่อสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ชื้อตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้อย่างแน่นอน” นายชนินทร์ กล่าวปิดท้าย