SMART โชว์ผลประกอบการ Q1/62 กำไรสุทธิ 2.717 ล้านบาท
SMART โชว์ผลประกอบการ Q1/62 กำไรสุทธิ 2.717 ล้านบาท รายได้รวม 107.198 ล้านบาท เผยไตรมาส 2 ธุรกิจฟอร์มดีต่อเนื่อง สภาพอากาศร้อนหนุนความต้องการวัสดุลดความร้อนและประหยัดพลังงาน ด้านสินค้าอิฐมวลเบาโครงสร้าง-ตกแต่งกระแสตอบรับดี ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ภาคเอกชน ทยอยลงทุนเปิดโครงการใหม่ ชูกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้า เพิ่มช่องทางจำหน่ายทุกรูปแบบทั้งในและต่างประเทศ
นายรังสี ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ทคอนกรีต จำกัด (มหาชน) (SMART) ผู้ผลิตและจำหน่ายอิฐมวลเบาด้วยระบบอบไอน้ำภายใต้ความดันสูงเพื่อใช้ในงานก่อสร้างและงานกั้นผนังอาคาร เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2562 บริษัทมีรายได้รวม 107.198 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 88.447 ล้านบาท จำนวน 18.751 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 21.20 % และมีกำไรสุทธิ 2.717 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 8.058 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทมีการปรับตัวดีขึ้นและสามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ เนื่องจากปริมาณความต้องการวัสดุอิฐมวลเบาของโครงการภาครัฐและเอกชน และราคาจำหน่ายอิฐมวลเบามีการปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกทั้งสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กำไรขั้นต้นของบริษัทปรับตัวดีขึ้น
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 2/62 คาดว่าจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากสภาพอากาศร้อน ส่งผลให้ปริมาณวัสดุลดความร้อนและประหยัดพลังงานมีความต้องการเพิ่มขึ้น อีกทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชน ทั้งแนวราบและแนวสูง ทยอยเปิดโครงการต่อเนื่อง ในส่วนของงานภาครัฐ บริษัทยังคงได้รับงานขนาดกลางที่มีการลงทุน อาทิ โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน สถานศึกษา และบริษัทได้ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในประเทศทุกช่องทาง อาทิ โมเดิร์นเทรด เพิ่มตัวแทนจำหน่าย ร้านค้าวัสดุก่อสร้าง เพื่อกระจายสินค้าเข้าสู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้เพิ่มขึ้น
ขณะที่ตลาดต่างประเทศในกลุ่ม AEC ปัจจุบันบริษัทได้รับคำสั่งซื้อจากดีลเลอร์ในประเทศกัมพูชาและลาวต่อเนื่อง โดยนำสินค้าเข้าไปใช้กับงานโครงการต่างๆ และนำสินค้าเข้าไปวางจำหน่ายในร้านขายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างขนาดใหญ่ โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 400 ล้านบาท เติบโตอย่างน้อย 10% และคาดว่าจะเริ่มกลับมามีกำไรสุทธิและล้างขาดทุนสะสมภายในปี 62 สัดส่วนรายได้จะมาจากงานภาครัฐ 28 % ภาคเอกชน 70 % และต่างประเทศ 2 %