จับตาราคาบิทคอยน์ทำจุดสูงสุดใหม่ในปีนี้
แรงหนุนนักลงทุนสถาบันและโอกาสจัดตั้ง Bitcoin ETF
นักลงทุนรุ่นใหม่ เผยราคาบิทคอยน์มีโอกาสปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ภายในปีนี้ จากปัจจัยบวกที่ ก.ล.ต. สหรัฐอเมริกา อาจจะอนุมัติกองทุน Bitcoin ETF ส่งผลให้เม็ดเงินจากนักลงทุนสถาบันไหลเข้ามาลงทุนบิทคอยน์เพิ่ม ขณะที่ปัจจัยลบทั้งนโยบายการเงินของ FED และทางการจีนแบนคริปโต ตลาดรับรู้ไปหมดแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ระหว่างทิศทางขาขึ้น ราคาอาจมีโอกาสปรับฐานลงบ้าง
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า ราคาบิทคอยน์มีโอกาสสูงที่จะทำจุดสูงสุดใหม่ (All Time High) เหนือระดับราคา 65,000 ดอลลาร์สหรัฐ ได้ภายในปีนี้ โดยแรงหนุนสำคัญมาจากการที่กองทุน Bitcoin ETF มีโอกาสที่จะได้รับการอนุมัติ จากสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของสหรัฐอเมริกา ต่อจาก Bitcoin Futures ETF ซึ่งได้รับการอนุมัติไปก่อนแล้ว
ทั้งนี้ Bitcoin ETF แตกต่างจาก Bitcoin Futures ETF กล่าวคือผู้จัดการกองทุนจะนำเงินของนักลงทุนไปลงทุนโดยตรงในบิทคอยน์ผ่านตลาด Spot ขณะที่ Bitcoin Futures ETF เป็นเพียงแค่การลงทุนผ่านตราสารอนุพันธ์ของบิทคอยน์ผ่านตลาด CME ซึ่งเป็นตลาดอนุพันธ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ในตลาดตราสารอนุพันธ์ไม่ได้ทำให้เกิดความต้องการใหม่ในบิทคอยน์นั่นเอง
ในขณะที่ กองทุน Bitcoin ETF จะเป็นช่องทางให้กับทั้งนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยที่มีความต้องการลงทุนและรับผลตอบแทนจากบิทคอยน์ แต่ยังมีความกังวลเรื่องของข้อกฎหมายและความปลอดภัย สามารถเข้าลงทุนได้โดยใช้เงินเริ่มต้นเพียงเล็กน้อยจึงเป็นการเปิดตลาดใหม่ให้กับสินทรัพย์ดิจิทัล จึงเป็นโอกาสมหาศาลที่จะทำให้ตลาดเติบโตจากเม็ดเงินของนักลงทุนที่ลดพอร์ตจากสินทรัพย์ดั้งเดิมเพื่อเข้าสู่การลงทุนในสินทรัพย์รูปแบบใหม่
“ราคาบิทคอยน์ที่วิ่งขึ้นมาแตะระดับ 63,000 ดอลลาร์สหรัฐ มาจากความคาดหวังที่ว่ากองทุน Bitcoin ETF จะสามารถจัดตั้งได้หลังจากที่ต้องรอมานานกว่า 8 ปี รวมถึงก่อนหน้านี้ที่ ETF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบิทคอยน์ได้รับการอนุมัติไปก่อนหน้าแล้วรวมถึงล่าสุด Bitcoin Futures ประกอบกับมุมมองจากประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ และประธาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ มีแนวโน้มที่ไม่ขัดขวางการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัลทำให้เกิดแรงซื้อเข้ามาในบิทคอยน์”
ส่วนความกังวลที่ประเทศจีนสั่งห้ามทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency ทุกรูปแบบได้คลายความกังวลลง จากการที่เหมืองขุดบิทคอยน์ในประเทศจีนได้ย้ายออกมาทั้งหมด แล้วไปตั้งฐานใหม่ที่สหรัฐอเมริกา จนทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นตลาดอันดับหนึ่งของการขุดบิทคอยน์แทน ดังนั้น ไม่น่าจะมีข่าวเชิงลบจากฝั่งประเทศจีนมาส่งผลต่อราคาและมีอิทธิพลเชิงลบต่อตลาดในอนาคต
รวมถึงข่าวการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ FED จะลดวงเงินการทำคิวอี โดยราคาสินทรัพย์ในตลาดได้รับรู้แนวทางดังกล่าว และคาดเดาได้ ดังนั้นผลการประชุมที่คาดว่าจะออกมาจึงไม่อาจส่งผลกระทบใด ๆ อย่างมีนัยยะสำคัญได้อีก
“ความเห็นที่ออกมาจากหน่วยงานกำกับดูแลอย่าง ก.ล.ต. ค่อนข้างเป็นบวก มีความเป็นไปได้สูงที่ ก.ล.ต. สหรัฐอเมริกา จะอนุมัติ Bitcoin ETF ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ในช่วงที่ผ่านมาการที่มีผู้ยื่นขอจัดตั้งกองทุนดังกล่าว มาตั้งแต่ปี 2013 และยังไม่มีกองทุนได้รับอนุมัติเลย เนื่องจากรูปแบบการลงทุนในบิทคอยน์โดยตรงมีความซับซ้อนมากกว่า Bitcoin Futures อย่างไรก็ตามนักลงทุนอาจต้องระมัดระวังหาทางป้องกันความเสี่ยงไว้ด้วย ในกรณีที่นักลงทุนเกิดความผิดหวังจากการที่กองทุน Bitcoin ETF ไม่ได้รับอนุมัติ กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้จึงต้องเพิ่มความระมัดระวัง ยังไม่จำเป็นต้องให้น้ำหนักการลงทุนด้วยการใส่เงินลงทุนเข้าไปเพื่อหวังเก็งกำไรมาก แต่ควรถือเงินสดรอจังหวะราคาย่อลงมา จึงค่อยหาโอกาสทยอยเพิ่มน้ำหนักการลงทุน”
หากวิเคราะห์เชิงปัจจัยทางเทคนิค ราคาบิทคอยน์มีโอกาสจะปรับตัวลงได้อีกรอบ หากราคายังไม่ทะลุระดับ 63,000 ดอลลาร์สหรัฐ ตามกราฟเทคนิคจะต้องมีการพักฐานใน Corrective Wave จนครบรอบ โดยมีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวลง ที่แนวรับตั้งแต่ 47,000-51,000 ดอลลาร์สหรัฐ จังหวะนี้นักลงทุนสามารถทยอยเข้าสะสมบิทคอยน์ได้
“สำหรับเหรียญทางเลือก หรือ Altcoin ที่ยังไม่ค่อย Perform ในช่วงนี้ เป็นเพราะเม็ดเงินไหลไปลงทุนในบิทคอยน์เป็นส่วนใหญ่ แต่หากราคาบิทคอยน์เริ่มนิ่งและดัชนี Bitcoin Dominance หรือ สัดส่วนของบิทคอยน์ต่อตลาดรวมลดลง เหรียญ Altcoin ถึงจะกลับมาสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยเหรียญกลุ่มที่น่าจับตา คือ เหรียญในสาย Smart Contract และ NFT Games อาจจะเป็นโอกาสการลงทุนหากศึกษาข้อมูลการลงทุนให้ดี” นายณพวีร์ กล่าวทิ้งท้าย