ทุนญี่ปุ่นรุกอสังหาฯไทย แสนสิริจับมือโตคิว กรุ๊ป
การเคลื่อนย้ายของทุนญี่ปุ่นเข้าสู่ธุรกิจในประเทศไทย นับวันจะมีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้ามาลงทุนในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมองว่า ประเทศไทยเป็นเป้าหมายหนึ่งในการลงทุนสำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในเรื่องการเติบโตและโอกาสการลงทุน
ทำให้ปัจจุบันกลุ่มทุนที่เข้ามามีบทบาทในธุรกิจอสังหาฯ และทยอยเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจนแทนกลุ่มทุนสิงคโปร์ คือ กลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นการเข้ามาลงทุนแบบเต็มรูปแบบ มีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยในระยะยาว
โดยทุนญี่ปุ่นที่เข้ามาร่วมทุนกับผู้ประกอบการอสังหาฯ ไทยรายใหญ่หลายรายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มมิตซูบิซิ เอสเตท กรุ๊ป ที่เข้ามาร่วมทุนกับ บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กลุ่มมิตซุย ฟูโดซัง เรสซิเด้นเชียล ร่วมทุนกับบมจ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ หรือ บมจ. เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ร่วมกับฮันคิว และ บมจ. ออริจิ้นฯ ได้ร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ และล่าสุดบมจ.แสนสิริได้ร่วมทุนกับโตคิว คอร์ปอเรชั่น
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บมจ.แสนสิริ (SIRI) เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและบริการระบบรถไฟในเขตชานเมืองโตเกียว การพัฒนาเมืองและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกิจการโรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจอื่นๆ และบริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมกันก่อตั้งบริษัท สิริ ทีเค วัน จำกัด โดย แสนสิริ ถือหุ้นในสัดส่วน 70% กลุ่มโตคิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 29% และบริษัทสหโตคิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 1%
ทั้งนี้ เพื่อร่วมพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม ในทำเลเอกมัย 12 โดยนำร่องเปิดตัวโครงการแรกชื่อ “ ทากะ เฮาส์” มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดพรีเซลล์ในวันที่ 6 ก.ย.นี้
“การร่วมมือกับโตคิวในครั้งนี้ จะเป็นการพลิกโฉมธุรกิจอสังหาฯไทยให้ก้าวไปสู่ระดับสากล และยกระดับการอยู่อาศัย โดยแสนสิริจะเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯของไทยที่ครบวงจร และก้าวเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯระดับโลก”นายอุทัยกล่าว
โดยการร่วมมือกับโตคิว ญี่ปุ่นในครั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถช่วยสร้างโอกาสทางธุรกิจในการผลักดันแบรนด์ “แสนสิริ” ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น และคาดยอดขายลูกค้าชาวญี่ปุ่นสำหรับโครงการร่วมทุนแรกที่เอกมัย มีสัดส่วนสูง 15% จากปัจจุบันลูกค้าญี่ปุ่นมีสัดส่วนราว 5% ขึ้น โดยโตคิว มีฐานลูกค้าที่จะมีการแนะนำเข้ามาให้รู้จักกับโครงการของแสนสิริมากขึ้น ซึ่งทำให้แสนสิริเป็นที่รู้จักของลูกค้าชาวญี่ปุ่นในวงกว้าง ส่วนยอดขายจากลูกค้าต่างชาติในปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่ 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะมียอดขายจากลูกค้าชาวญี่ปุ่นอยู่ที่ 500-1,000 ล้านบาท โดย 7 เดือนที่ผ่านมายอดขายจากลูกค้าต่างชาติทำได้ 4,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ การร่วมกับโตคิว บริษัทได้มองไปถึงการสร้างเมืองแห่งใหม่อีกหนึ่งแห่งในอนาคต ซึ่งอยู่ระหว่างการมองหาทำเล โดยมีความเป็นไปได้ทั้งที่ดินที่เป็นฟรีโฮลด์ ( Free Hold) และที่ดินลีส โฮลด์ ( Lease Hold) ซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของการพัฒนาโครงการในแต่ละทำเล
ส่วนการเปิดโครงการใหม่ของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลัง จำนวน 16 โครงการ มูลค่าประมาณ 40,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่า 22,300 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 16,100 ล้านบาทและทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ มูลค่า 760 ล้านบาท