ปีหน้าเพิ่มพอร์ตสินทรัพย์ดิจิทัล เอไอ หุ้นอินเดียและเวียดนาม
รับประโยชน์จากนโยบาย “ทรัมป์”
ภาพรวมการลงทุนปีหน้า โอกาสลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล บิทคอยน์ หุ้นเอไอ เทคโนโลยีขับเคลื่อนรถยนต์อัตโนมัติและพลังงานรูปแบบดั้งเดิม รับผลบวกจากนโยบายส่งเสริมเทคโนโลยีของโดนัลด์ ทรัมป์ ส่วนตลาดหุ้นจีนอาจมีแรงขายออกมาไหลไปลงทุนในตลาดอินเดียและเวียดนามแทน
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยมุมมองการลงทุนในปีหน้า 2568 ว่า หุ้น หรือ สินทรัพย์ที่ได้รับผลบวกจากนโยบายใหม่ของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนที่ดี ขณะเดียวกันสินทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบเชิงลบอาจจะให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีนัก
ทั้งนี้ นโยบายที่ทรัมป์ ใช้ในการหาเสียงมาโดยตลอด คือการส่งเสริมสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งการเข้าซื้อบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์สำรองแห่งชาติ การส่งเสริมการขุดบิทคอยน์ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบให้ผ่อนคลายมากขึ้น ส่งผลดีต่อบิทคอยน์และหุ้นที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายและเหมืองขุดบิทคอยน์ที่จะได้รับประโยชน์ไปด้วย
นอกจากนี้ยังต้องจับตาการแต่งตั้งเดวิด แซกส์ อดีตผู้บริหาร PayPal ขึ้นมาดูแลนโยบายด้านเทคโนโลยีคริปโตและเอไอ ประจำทำเนียบขาว เป็นไปได้ว่ากิจการที่เกี่ยวข้องกับเอไอทั้งหมดที่นอกเหนือไปจากกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์และดาต้าเซ็นเตอร์ที่เติบโตไปก่อนหน้านี้ อาจจะได้รับประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจคลาวด์และซอฟต์แวร์
ขณะที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอีลอน มัสก์ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนการเลือกตั้งของทรัมป์ มีโอกาสได้รับผลบวกจากนโยบายยกเลิกมาตราการสนับสนุนด้านภาษีให้กับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะส่งผลทางลบโดยตรงต่อรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน แต่ส่งผลกระทบต่อหุ้น Tesla ค่อนข้างน้อย เพราะกำลังขยับตัวเองจากผู้ผลิตรถยนต์เป็นผู้ให้บริการขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Robo Taxi) เช่นเดียวกับธุรกิจด้านอวกาศ จรวด ที่นำกลับมาใช้งานใหม่ได้ และอินเทอร์เนตดาวเทียม
นอกจากนั้น ทรัมป์ มีแผนที่จะแต่งตั้งอดีตผู้บริหารของบริษัทด้านการขุดเจาะน้ำมันมาเป็นรัฐมนตรีพลังงาน ประกอบกับทรัมป์เองไม่สนใจในนโยบายและเทคโนโลยีพลังงานทดแทนเพื่อลดโลกร้อน ซึ่งอาจส่งผลดีต่อราคาน้ำมัน รวมถึงบริษัทด้านพลังงานรูปแบบดั้งเดิม
“ภาพรวมของนโยบายในยุคโดนัลด์ ทรัมป์ นอกจากการปกป้องธุรกิจดั้งเดิมของชาวอเมริกันแล้ว ยังมีแนวความคิดที่จะทำให้สหรัฐฯ ขึ้นมาเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี โดยอาจเป็นการชิงกับคู่แข่งสำคัญอย่างประเทศจีน มองว่าหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีดังกล่าวมีโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนได้อย่างดี”
ทางด้านตลาดหุ้นที่มีโอกาสได้รับผลกระทบเชิงลบจากการก้าวขึ้นมาของโดนัลด์ ทรัมป์ คือตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะนโยบายการกีดกันทางการค้าต่าง ๆ จะถูกนำมาใช้อย่างจริงจัง รวมถึงการกีดกันทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งจะกดดันตลาดหุ้นจีนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนกว่ารัฐบาลจีนจะออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ตลาดหุ้นจีนถึงจะกลับตัวเป็นขาขึ้นอีกรอบ นักลงทุนจึงต้องจับตาความเคลื่อนไหวดังกล่าว
ทั้งนี้การที่ตลาดหุ้นจีนได้รับผลกระทบเชิงลบอาจส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นอินเดีย ที่ไตรมาสที่ผ่านมามูลค่าปรับตัวลดลงจากปัญหาการเมืองภายในและคดีความที่เกิดขึ้นกับเจ้าของ Adani Group แต่มีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนที่อยู่ใน Emerging Market อาจไหลออกจากจีนไปลงทุนในอินเดียแทน ซึ่งมูลค่าตลาดหุ้นที่ลดลงน่าจะเป็นแรงจูงใจให้กับนักลงทุนสถาบัน เพราะในระยะยาวอินเดียจะกลายมาเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงกว่าจีน
อีกตลาดหุ้นที่น่าจะได้รับประโยชน์ คือตลาดหุ้นเวียดนามที่ตอนนี้มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของเอเชีย และยังเป็นแหล่งผลิตทางด้านเทคโนโลยีแห่งใหม่ น่าจะได้ประโยชน์จากการที่เม็ดเงินลงทุนไหลออกจากประเทศจีน ที่สำคัญทั้งอินเดียและเวียดนาม เป็นประเทศที่ไม่มีข้อพิพาททางการเมืองและเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ จึงไม่มีแรงกดดันถ้าหากทรัมป์ ทวีตข้อความในเชิงลบ
“ภาพรวมตลาดการเงินในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์จะมีบางสินทรัพย์และหุ้นบางเซกเตอร์ที่ได้ประโยชน์มีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระดับสูง อย่างไรก็ตามจะมีความผันผวนที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน จากการออกมาให้ความเห็นต่าง ๆ ผ่านสื่อ ซึ่งนักลงทุนจะต้องมีการปรับตัวครั้งใหญ่ในช่วงหลังจากนี้” นายณพวีร์ กล่าว