“พฤกษา” ปรับเพิ่มพอร์ตบ้านเดี่ยวราคา 5-10 ล้าน เลี่ยงปัญหายอดรีเจค พร้อมลุยตลาดพรีเมียม ทั้งคอนโดและแนวราบ ตั้งเป้า 2-3 ปี มีส่วนแบ่งตลาด 10% ขณะยอดขายครึ่งปีแรก 2.61 หมื่นล้าน เติบโต 20.9%
นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลังบริษัทได้ปรับกลยุทธ์ตลาดแนวราบใหม่ เพิ่มพอร์ตการพัฒนาบ้านเดี่ยวราคา 5-10 ล้านบาทมากขึ้น ที่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการปฎิเสธสินเชื่อ โดยจะลดสัดส่วนการพัฒนาบ้านเดี่ยวราคา 3-5 ล้านบาทลง เพราะเป็นตลาดมีปัญหาในเรื่องของกำลังซื้อ มีผลต่ออัตราการปฎิเสธสินเชื่อ และยอดการยกเลิกที่สูง สัดส่วนถึง 30% ส่วนโครงการทาวน์เฮ้าส์ จะหันมาเน้นระดับราคา 3-5 ล้านบาทมากขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตที่สูง
ส่วนตลาดคอนโดมิเนียม จะมุ่งเน้นกลุ่มราคา 2-3 ล้านบาทมากขึ้น ซึ่งพฤกษาเป็นผู้นำในตลาดนี้ และจะลดสัดส่วนโครงการราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาทลง ซึ่งมีปัญหาในเรื่องอัตรการปฎิเสธสินเชื่อสูงเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ ยังใช้กลยุทธ์การเพิ่มมูลค่าสินค้า โดยการออกแบบฟังก์ชั่นและดีไซน์ที่เน้นมูลค่าเพิ่มในทุกโครงการทั้งทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียมให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในยุคปัจจุบัน ในขณะที่ตลาดต่างจังหวัดบริษัทมีแผนการพัฒนาโครงการที่อยู่ในเขตโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ไม่ว่าจะเป็นชลบุรี ระยอง เนื่องจากมีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น จากการที่ภาคเอกชนได้เข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC
สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก 2560 ว่า บริษัทฯ สามารถทำยอดขายได้ 26,150 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 20.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 ที่มียอดขาย 21,635 ล้านบาท โดยยอดขายที่เติบโตขึ้นมาจากการเปิดขายคอนโดมิเนียมใหม่ 3 โครงการ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า คือ เดอะทรี สุขุมวิท 71-เอกมัย เดอะรีเซิร์ฟ ทองหล่อ และแชปเตอร์วัน ชายน์ บางโพ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังสามารถทำรายได้รวม 20,554 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 2,425 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่พลิกกลับมาเป็นบวกได้ทั้งรายได้และกำไร หลังจากที่ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา รายได้และกำไรของบริษัทปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ได้ปรับตัวลดลง 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือมีรายได้อยู่ที่ 20,500 ล้านบาท
“ ปัจจัยทำให้ในช่วงครึ่งปีแรกที่รายได้และกำไรของบริษัทปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาไม่มีมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์อย่างเช่นในช่วงครึ่งปีแรกของปีก่อน ประกอบกับบริษัทได้รับผลกระทบในเรื่องการโอนโครงการบ้านเดี่ยวที่ลดลง โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ที่ได้รับผลกระทบในเรื่องอัตราการปฏิเสธสินเชื่อและยอดการยกเลิกที่สูง ทำให้กระทบในแง่รายได้ และมีโครงการคอนโดมิเนียมใหม่โอนน้อยในช่วงครึ่งปีแรก”
อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลังการฟื้นตัวขึ้นของผลการดำเนินงานจะมาจากการที่บริษัทมีโครการคอนโดมิเนียมใหม่ที่รอโอนอีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 6,820 ล้านบาท อีกทั้งยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังที่จะเข้ามาอีก 12, 000 ล้านบาท จากยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ในครึ่งปีแรกที่มีอยู่ 29,00 ล้านบาท ซึ่งทำให้บริษัทมั่นใจว่าได้รายได้ในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 50,200 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะทำได้มากกว่าครึ่งปีแรกที่ 26,150 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะเปิดโครงการใหม่มากขึ้นกว่าครึ่งปีแรก โดยมีจำนวนการเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 39 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 36,200 ล้านบาท จากครึ่งปีแรกที่มีจำนวนโครงการใหม่เปิดไปแล้ว 33 โครงการ มูลค่าโครงการ 32,100 ล้านบาท ซึ่งบริษัทยังมั่นใจว่ายอดขายในปีนี้มีโอกาสทำได้ตามเป้าหมานยที่ 52,900 ล้านบาท
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจอสังหาฯพรีเมียมเติบโตอย่างมาก จากยอดขายช่วงครึ่งปีแรกที่เติบโตถึง 360% ทั้งนี้ มีแผนจะเปิดขายโครงการใหม่ เดอะรีเซิร์ฟ พหลโยธิน – ประดิพัทธ์ มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ในช่วงเดือน ก.ย.นี้ และจะทยอยเปิดตัวโครงการอื่นๆในช่วงครึ่งปีหลัง สำหรับยอดขายกลุ่มพรีเมียมในช่วง 2 – 3 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด จาก 5% เป็น 10% และตั้งเป้ารายได้ของธุรกิจพรีเมียม สัดส่วน 30% ของพอร์ตรายได้รวมกลุ่มพฤกษา จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.6%
ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาฯพบว่ายอดขายในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลช่วงครึ่งปีแรก เติบโตกว่า 15.9% แต่ประเมินว่าในปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ 5 – 7% โดยมูลค่าตลาดรวมคอนโดในช่วงครึ่งปีแรก อยู่ที่ 106,954 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยความกังวลมองว่าถ้าหากความเชื่อมั่นในตลาดเงินถดถอยก็จะกลายเป็นปัจจัยกดดันต่อการระดมทุนของผู้ประกอบการ กระทบเรื่องหุ้นกู้ ตราสารหนี้ต่างๆ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้บริษัทตลาดกลางเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ยาก แต่บริษัทที่เป็นกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่มีเครดิตดีจะได้รับประโยชน์เข้าถึงแหล่งทุน