VMPC ชี้สารพัดปัจจัยลบฉุดอสังหาฯ ปี 2562 ลุ้น “เสถียรภาพการเมือง-ต่างชาติย้ายฐานผลิตเข้าไทย” ดันเศรษฐกิจฟื้น

VMPC ชี้สารพัดปัจจัยลบฉุดอสังหาฯ ปี 2562
ลุ้น “เสถียรภาพการเมือง-ต่างชาติย้ายฐานผลิตเข้าไทย” ดันเศรษฐกิจฟื้น

 

            ซีอีโอ VMPC วิเคราะห์ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2562 เสี่ยงสูงจากปัจจัยลบรอบด้าน ทั้งดอกเบี้ยขาขึ้น – หนี้เสีย – มาตรการคุมเข้มปล่อยกู้ซื้อบ้าน ลุ้นอานิสงส์สหรัฐประกาศสงครามการค้ากับจีน หนุนต่างชาติย้ายฐานผลิตจากจีนเข้าไทย – จับตาเสถียรภาพการเมืองไทยหลังเลือกตั้ง โชว์แกร่ง VMPC ยืนหยัดท่ามกลางตลาดซบด้วยธุรกิจ 2 ขา ทั้งอสังหาฯ เพื่อขายและให้เช่า พร้อมเดินหน้าแกรนด์โอเพนนิ่ง “โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนท์ ศรีราชา”  เดือนมกราคม 2562 รองรับดีมานด์อสังหาฯ โซน EEC โตต่อเนื่อง

          นายปริญญา เธียรวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี.เอ็ม.พี.ซี.จำกัด (VMPC) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งเพื่อขายและให้เช่า เปิดเผยว่า ในปี 2562 เศรษฐกิจไทยยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงิน มาตรการคุมเข้มปล่อยกู้ซื้อบ้าน ในขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือหนี้เสีย (NPL)  ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังอยู่ในอัตราค่อนข้างสูง โดยอยู่ที่ระดับประมาณ 4% และยังไม่เห็นสัญญาณบวกที่ทำให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโต  นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอกจากภาวะเศรษฐกิจโลก กรณีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ทำให้บริษัทหลายแห่งที่ส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐต้องย้ายฐานการผลิตจากจีน ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวและอาจจะกระทบการท่องเที่ยวและภาพรวมเศรษฐกิจไทย

อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทหลายแห่งต้องย้ายฐานการผลิตจากจีนเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการประกาศเก็บภาษีสินค้าที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีน รวมถึงมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐกับอีกหลายๆ ประเทศ อาจทำให้เกิดการย้ายฐานการผลิตและการลงทุนมายังประเทศไทย เพื่อเปลี่ยนสถานที่ในการผลิตสินค้าให้สามารถส่งออกสินค้าได้ตามปกติ ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในภูมิภาคเอเชียที่มีความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งเหมาะสม มีระบบสาธารณูปโภคและคมนาคมขนส่งที่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนซึ่งจะเป็นแรงดึงดูดให้จีนและประเทศอื่นๆ เข้ามาขยายฐานการลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC ) ในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทราเริ่มมีความชัดเจนด้านการลงทุนต่างๆ มากขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน

“ตอนนี้ผมเห็นปัจจัยบวกเรื่องเดียวที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย นั่นก็คือการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันการย้ายฐานการผลิตเป็นเรื่องง่ายมากๆ เพราะส่วนใหญ่เป็นการผลิตโดยใช้หุ่นยนต์และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI  ดังนั้นสิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้บริษัทที่ย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทยแบบถาวร ส่วนการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นต้องรอดูความชัดเจนอีกครั้ง เพราะมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งหากการเมืองมีเสถียรภาพก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเสถียรภาพทางการเมืองเป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจขยายการลงทุนทั้งนักธุรกิจไทยและต่างชาติ ประชาชนจะกลับมาใช้จ่าย ลงทุน และบริโภค แต่หากเลือกตั้งแล้วการเมืองไม่นิ่งก็จะทำให้มีการชะลอการลงทุน หรือเลี่ยงไปลงทุนในประเทศอื่นในแถบเอเชียแทน” นายปริญญา กล่าว

          นายปริญญา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของบริษัทฯ ยังคงยึดหลักการดำเนินธุรกิจโดยการบริหารอสังหาริมทรัพย์แบบ 2 ขา โฟกัสทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายและให้เช่า ซึ่งถือเป็นการบริหารและกระจายความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจผันผวน โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 60% และอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า 40%

สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ล่าสุดคือ “โอ๊ควู๊ด โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนท์ ศรีราชา” โรงแรมระดับ 5 ดาว
สูง 48 ชั้น บนเนื้อที่ 12 ไร่ ใจกลางอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท ได้รับการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Modern Oriental Style” ตัวอาคารประกอบด้วย อาทาระ ทาวเวอร์ A, อาทาระ ทาวเวอร์ B และอาทาระมอลล์  เริ่มดำเนินการก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 2558 และเริ่มเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการมาตั้งแต่ต้นปี 2560 และได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันถือเป็นโรงแรมที่มีจำนวนผู้เข้าพักมากที่สุดของศรีราชาซึ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ (Grand Opening) ในวันที่ 19 มกราคม 2562 โดยมองว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โซนภาคตะวันออกยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมและมีระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่งที่มีความพร้อมและมีศักยภาพสำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

          ในส่วนของอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย บริษัทฯ เน้นเจาะตลาดระดับบนหรือกลุ่มไฮเอนด์ โดยแต่ละโครงการตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ติดถนนสายหลัก อาทิ โครงการ “แอสเทรา ไพรด์ พระราม 2” บ้านเดี่ยวขนาด 3 ชั้น สไตล์ “Modern Style New Fangled Loft” พร้อมฟังก์ชั่นการใช้สอยครบครันที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกทุกคนในครอบครัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ต้นถนนพระราม 2 ติดถนนใหญ่ ราคายูนิตละ 35 – 50 ล้านบาท  เนื้อที่โครงการประมาณ 12 ไร่  มูลค่าโครงการรวม 1,400 ล้านบาท โดยล่าสุดได้เปิดตัวบ้านซีรีส์ใหม่และได้รับการตอบรับที่ดีมาก นอกจากนี้ยังได้พัฒนาโครงการ “แอสเทรา เบลส” ทาวน์โฮม 3 ชั้นครึ่ง ติดถนนพระราม 2 กม. 5 ราคายูนิตละ 8.49 – 9.89 ล้านบาท  พื้นที่โครงการประมาณ 28 ไร่ มูลค่าโครงการรวม 2,100 ล้านบาท ได้รับการออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “ทาวน์โฮมแนวคิดใหม่ที่ไม่เหมือนใคร” เน้นความหรูหราในสไตล์โมเดิร์น ด้วยจุดเด่น “Free Space Design”  ดีไซน์ทุกพื้นที่ภายในบ้านให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยโครงการดังกล่าวได้เปิดขายไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา และเริ่มเปิดขายเฟสที่ 2 และทยอยโอนกรรมสิทธ์ในปี 2561