สิงห์ เอสเตท ก้าวสู่”โฮลดิ้ง คัมปานี”

สิงห์ เอสเตท เปิดยุทธศาสตร์ก้าวสู่”โฮลดิ้ง คัมปานี” มุ่งควบรวมซื้อกิจการ  ล่าสุดทุ่ม 11,073 ล้านบาท ซื้อโรงแรม แห่งใน ประเทศ หวังสร้างการเติบโตอย่างรวดเร็ว ดันรายได้รวมทะลุ 2 หมื่นล้านบาทในปี”63

นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท  จำกัด(มหาชน)  เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท มีนโยบายขับเคลื่อนธุรกิจสู่การ “Premeir property development &investment holding company”  ผ่านยุทธศาสตร์การควบรวมและซื้อกิจการ(M&A) โดยมุ่งลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนที่ดี พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจโรงแรม อาคารสำนักงานให้เช่า รีเทล และที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ยังมองหาธุรกิจใหม่เพื่อสร้างการเติบโตและสร้างรายได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนให้แก่บริษัทในอนาคต

แผนการลงทุนในปีนี้ บริษัทตั้งงบประมาณในการลงทุนไว้ที่ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นใช้สำหรับการเข้าซื้อกิจการเอาท์ริกเกอร์ โฮเทลม์ ฮาวาย จำนวน 6โครงการ ใน 4 ประเทศ การพัฒนาโครงการ “ครอสโร้ดส์” ในมัลดีฟส์ ในส่วนของโรงแรม 2 แห่งที่เตรียมเปิดให้บริการในปลายปีนี้ และการซื้อที่ดิน 1 แปลงในกรุงเทพฯ โดยใช้เงินประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อนำมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในช่วงปลายปีนี้

ในปีนี้โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ที่บริษัทเป็นผู้พัฒนาเองมีทั้งหมด 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 10,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว สันติบุรี เรสซิเดนซ์ มูลค่า 6.000 ล้านบาท, โครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ ระดับลักชัวรี่ บนทำเลสุขุมวิท 43 และโครงการคอนโดมิเนียมอีก 1 โครงการ ซึ่งอยู่ระหว่างการหาซื้อที่ดิน โดยบริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) เพิ่มเป็นไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท ภายในสิ้นปี 2561 จากปัจจุบันมี Backlogอยู่ที่ 14,000 ล้านบาท

ส่วนงบสำหรับการซื้อกิจการ (M&A) ในปี 2561 บริษัทตั้งไว้ที่ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทจะเน้นไปที่การซื้อกิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยวในต่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมในเมืองท่องเที่ยวที่สามารถเที่ยวได้ทุกฤดูกาล และไม่เน้นกลุ่มโรงแรมบิสสิเนส โฮเทลส์ เพื่อทำให้มีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทมองถึงตลาดการท่องเที่ยวที่มีการเติบโตมากขึ้น ทำให้เป็นโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างรายได้เข้ามาได้ทันที พร้อมกับช่วยผลักดันสัดส่วนรายได้ในต่างประเทศของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 50% ภายในปี 2563 จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศไม่ถึง 50% และเป็นการช่วยผลักดันเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) เป็น 70% ในปี 2563 จากปัจจุบันอยู่ที่ 30% โดยจะมีจำนวนโรงแรมทั้งหมดในปี 2563 มากกว่า 50 แห่ง จำนวนห้องพักมากกว่า 5,000 ห้อง

ขณะที่แนวโน้มของรายได้ในปีนี้ยังมีแนวโน้มที่ดีกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 6,220 ล้านบาท เนื่องจากในปีนี้บริษัทมีการรับรู้รายได้จากโรงแรมในประเทศอังกฤษได้เต็มปี หลังจากที่เริ่มทยอยรับรู้รายได้มาตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อน และจะมีการรับรู้รายได้จากการขายโครงการที่อยู่อาศัยของบมจ.เนอวานา ไดอิ (NVD) เข้ามามากกว่า 6,000 ล้านบาท การเริ่มรับรู้รายได้จากโรงแรม 6 แห่งของเอาท์ริกเกอร์ การเปิดให้บริการของอาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ ในช่วงเดือนส.ค. ซึ่งมีอัตราการเช่า 60% ในปีนี้ การเริ่มทยอยโอนโครงการ The ESSE Asoke ในช่วงปลายปีนี้เล็กน้อย และการเปิดให้บริการของโครงการครอสโร้ด มัลดีฟส์ เฟส 1 ที่มีโรงแรม 2แห่ง ที่เปิดไห้บริการได้ไนช่วงไตรมาส 4นี้

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของรายได้มากขึ้นในปี 2562 จากการที่รับรู้รายได้จากการโอนของ The ESSE Asoke ที่มียอดขาย 80%เข้ามาเต็มปี การเปิดให้บริการอาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ เต็มปีและมีอัตราการเช่าในปี 2562 เพิ่มเป็น 80-90% การเปิดให้บริการของโครงการครอสโร้ด มัลดีฟส์ เฟส1 เต็มปี และการรับรู้รายได้จากโรงแรมของเอาท์ริกเกอร์ 6 แห่งได้เต็มปี ส่งผลให้บริษัทจะมีรายได้ 2 หมื่นล้านบาท เร็วกว่ากำหนดเดิมตั้งไว้ในปี 2563

“เรายังคงเดินหน้าขยายการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และเปลี่ยนวิชั่นมาเป็น Premeir property development & investment holding companyเพื่อทำให้วิชั่นของเรากว้างขึ้น ไม่ได้เฉพาะการลงทุนแค่ในธุรกิจอสังหาฯเพื่อขายเท่านั้น แต่ลงทุนในอสังหาฯรูปแบบต่างๆ ซึ่งมีความหลากหลายมากกว่าเดิม ที่วิชั่นเดิมเป็น Propertydevelopment & invester ซึ่งครั้งนี้สิงห์ เอสเตท จะก้าวสู่การเป็น Holding Company และเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถสร้างรายได้และผลตอบแทนกลับมาได้ทันทีเป็นหลัก และขยายขนาดสินทรัพย์ให้มากขึ้น ซึ่งสิ้นปี 2561 จะมีมูลค่าสินทรัพย์รวมแตะ 6 หมื่นล้านบาทแล้ว”นายนริศ กล่าว

        นายฐิติ ทองเบญจมาศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานโครงการครอสโร้ดส์ กล่าวถึงโครงการที่มัลดีฟส์ ว่า โครงการ “ครอสโร้ดส์” ประเทศมัลดีฟส์ มีมูลค่าโครงการ เฟส1 ประมาณ 11,000 ล้านบาท มีแผนจะพัฒนาเป็น Tourist Facilities Destination บนพื้นที่ยาว 7 ก.ม. แบ่งเป็น 9 เกาะ ประกอบด้วยโรงแรมและรีสอร์ทที่สร้างสรรค์มาเพื่อตอบโจทย์ทุกๆ ไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยว รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจร อาทิ ท่าเทียบเรือยอร์ชสุดหรู, บีช คลับ ระดับลักชัวรี,ร้านค้าไลฟ์สไตล์, ร้านค้าปลอดภาษี, ร้านอาหาร และ Cultural Center เพื่อเป็นศูนย์เผยแพร่ความเชื่อมโยงของ 2 วัฒนธรรม และส่งเสริมคุณภาพชีวิตชุมชนผ่านผลงานสินค้าท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาศูนย์อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลเพื่อรักษาความหลากหลายทางชีวภาพของระบบนิเวศทางทะเล โดยจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในช่วงเดือนต.ค.หรือเดือนพ.ย.นี้ ในส่วนของ Township ซึ่งคาดว่าจะมีผู้ใช้บริการในส่วนของ Township เฉลี่ย 5,000 คนต่อวัน และโรงแรม 2 แห่ง จำนวน 390 ห้อง โดยประเมินอัตราการเข้าพักเฉลี่ยที่ 70% โดยอัตราค่าห้องพักของโรงแรมทั้ง 2 แห่งที่เปิดให้บริการจะอยู่ในช่วง 350-550 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อคืน