อนันดาฯ โชว์ผลงานเด่นยอดโอนเพิ่มขึ้น 72% ยอดขายเติบโต 51% คงเป้าหมายยอดโอนทั้งปีอยู่ที่ 38,000 ล้านบาท ประกาศจับมือพันธมิตรระดับโลก “แอสคอทท์”  เตรียมเปิด 4 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ครองตำแหน่งผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า เผยผลดำเนินงานที่เติบโตแบบก้าวกระโดด พร้อมประกาศยอดโอน 3,840 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  และมียอดขาย 6,685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้บริษัทฯ คงเป้าหมายยอดโอนทั้งปีอยู่ที่ 38,000 ล้านบาท เติบโต 152% จากปีก่อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “4 in 4 Roadmap ระยะเวลาแห่งการเติบโตมากกว่า 4 เท่าใน 4 ปี” โดยบริษัทฯ คาดว่ายอดโอนจะเติบโตเกินกว่า 400% จาก 15,100 ล้านบาท ในปี 2560 เป็น 70,000 ล้านบาท ในปี 2564

นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บริษัทฯ เปิดเผยยอดโอนในไตรมาสแรก 3,840 ล้านบาท ซึ่งรวมยอดโอนจากโครงการร่วมทุน นอกจากนี้บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 2,821 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ 1,853 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งยังสามารถสร้างผลกำไรสุทธิที่ 145 ล้านบาท โดยมีอัตรากำไรสุทธิของบริษัทที่ 5%

ในไตรมาสแรก บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการตามเป้าหมายที่วางไว้ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 4,325 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียมไอดีโอ สาทร วงเวียนใหญ่ มูลค่าโครงการ 2,564 ล้านบาท ใกล้รถไฟฟ้าสถานี BTS วงเวียนใหญ่ และโครงการคอนโดมิเนียมยูนิโอ สุขุมวิท 72 เฟส 2 มูลค่าโครงการ 1,761 ล้านบาท ใกล้รถไฟฟ้าสถานี BTS แบริ่ง

โดยไตรมาสแรกของปีนี้ แม้ว่าบริษัทสามารถสร้างยอดขายจากโครงการใหม่ และโครงการที่เปิดตัวไปก่อนหน้า จำนวน 6,685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ระดับ 35,100 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 2561 จำนวนกว่า 53,600 ล้านบาท รองรับการโอนใน 3 ปีข้างหน้า เพิ่มขึ้น 26% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้านี้

บริษัทฯ มียอดโอนสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ ตลอดจนโครงการคอนโดมิเนียมเวนิโอ สุขุมวิท 10 สามารถสร้างเสร็จและโอนเร็วกว่าคาดในไตรมาสแรกนี้ ทำให้มียอดโอนเติบโต 152% จากปี 2560 เป็น 38,000 ล้านบาท ในปี 2561 ทั้งนี้บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่จะโอนในปี 2561 มูลค่ากว่า 27,600 ล้านบาท คิดเป็น 81% ของเป้ายอดโอนในช่วงเก้าเดือนข้างหน้า ซึ่งรวมส่วนแบ่งยอดโอนของ อนันดา และมิตซุย ฟูโดซัง มาจากคอนโดมิเนียม 9 โครงการที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนในปี 2561 เพิ่มเติมจากคอนโดมิเนียมใหม่  8 โครงการที่แล้วเสร็จในปี 2560

นอกจากนี้ บริษัทฯ มียอดขายสูงกว่าเป้าที่วางไว้ และมีแผนเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่อีก 6 โครงการ โดยผลจากความสำเร็จดังกล่าวมาจากตัวโครงการตั้งอยู่บนทำเลติดรถไฟฟ้า สะดวกสบายในการเดินทาง มีการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆมาปรับใช้ในโครงการเพื่อช่วยเพิ่มสะดวกสบายในการอยู่อาศัย พร้อมราคาที่เหมาะสมสามารถจับต้องได้อย่างแท้จริง

ล่าสุด บริษัทฯ ได้ประกาศจับมือกับ ดิ แอสคอทท์ (Ascott) ซึ่งเป็นผู้บริหารธุรกิจเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ ชั้นนำระดับโลก เตรียมเปิดตัวโครงการเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ 4 โครงการ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูงใจกลางกรุงเทพฯ มูลค่าโครงการรวมกว่า 10,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการบนถนนพระราม 9  สาทร  ทองหล่อ และสุขุมวิท ซอย 8 โดยจะเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ ในไตรมาสแรกของปี 2563 สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ในการกระจายแหล่งรายได้ของบริษัทฯ และเพิ่มสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ ที่มาจากแหล่งรายได้ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ

 

ในส่วนของกระแสเงินสดของบริษัทฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นสุดไตรมาสยังคงรักษาเงินสดที่มีมากกว่า 5,200 ล้านบาท  ซึ่งบริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการเงินสดของบริษัทฯตลอดทั้งปี สามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ โดยในไตรมาสแรกของปี 2561 บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ 2 ประเภท มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท เพื่อไถ่ถอนหุ้นกู้เดิม ตลอดจนรองรับการขยายธุรกิจและเป็นเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2561 บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ระยะเวลา 1.6 ปี ด้วยต้นทุนหุ้นกู้ เพียง 2.95% ซึ่งเป็นต้นทุนที่มีสถิติต่ำสุดอีกครั้ง ลดลงจากก่อนหน้าที่บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ระยะเวลา 1 ปี ด้วยต้นทุน 3.05%” นายชานนท์ กล่าว

ทั้งนี้ ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นมีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น เป็นจำนวน 12.75 สตางค์ เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนหน้า โดยมีการพิจารณาจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่มีการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัท