เมกะเทรนด์หลังโควิด-19 ธุรกิจไบโอเทคโนโลยียืนหนึ่ง
หุ้นการแพทย์-นวัตกรรมไอที ในตลาดอเมริกาน่าจับตามอง
สองนักลงทุนส่องหุ้นตลาดอเมริกา ประเมินโควิด-19 ทำให้อุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยี – การแพทย์ อนาคตดีมีโอกาสเติบโตอย่างมีนัยยะ หลังวัคซีนฆ่าเชื้อไวรัส-19 เฟสแรกคืบหน้า ผสานแรงหนุนเมกะเทรนด์หลังโควิด New Normal ยุคดิจิทัล ทำให้ธุรกิจนวัตกรรมไอทีเป็นที่จับตา
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุน ผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า นับเป็นข่าวดีของทั่วโลกเมื่อบริษัทไบโอเทคโนโลยี หรือผู้พัฒนานวัตกรรมทางด้านชีวภาพของสหรัฐ Moderna (โมเดอร์นา) และพันธมิตร สถาบันสุขภาพแห่งชาติ เผยความคืบหน้าการทดลองวัคซีนสร้างสารภูมิต้านทาน หรือแอนติบอดี ฆ่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ในระยะแรก พบว่า แอนติบอดีตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันสามารถต่อต้านไวรัสได้อย่างแท้จริง เป็นก้าวแรกที่สำคัญ ซึ่งนำไปสู่การผลิตวัคซีนได้ในอนาคต ปัจจัยบวกนี้ สะท้อนถึงความน่าสนใจของอุตสาหกรรมไบโอเทคโนโลยี ที่คาดหมายว่าจะมีโอกาสเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ เพราะหลังจากนี้ ทั่วโลกจะตระหนักถึงความเสี่ยงทางด้านสุขภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับหุ้นกลุ่มไบโอเทคโนโลยีรายตัวในตลาด NASDAQ ที่น่าลงทุน ต้องยกให้ Moderna จากความคืบหน้าการทดลองวัคซีนไวรัสโควิด-19 เฟสแรก และคาดว่าบริษัทจะได้รับเงินทุนมูลค่า 483 ล้านดอลลาร์จากรัฐบาลสหรัฐฯ ในการเร่งผลิตวัคซีน โดยการทดสอบวัคซีนในเฟสที่สองน่าจะเกิดขึ้นภายในไตรมาสสามปีนี้ และการทดลองขั้นสุดท้ายเฟสที่สามจะอยู่ในช่วงปลายปีนี้ ส่วนราคาหุ้นล่าสุดปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 250% ตั้งแต่ต้นปี
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มการแพทย์ มีโอกาสเติบโตตามกระแสมาตรฐานใหม่ (New Normal) ยุคดิจิทัลเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่สามารถพัฒนาการบริการแบบ Digital Healthcare หรือให้บริการทางการแพทย์ผ่านทางออนไลน์ ซึ่งในเวลานี้ได้เห็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่หลายแห่ง ทั้งในไทยและต่างประเทศเริ่มให้บริการนี้แล้ว อีกทั้งยังจะได้ประโยชน์จากเมกะเทรนด์ของโลกอย่างสังคมผู้สูงอายุ และแนวคิดการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันที่เกิดขึ้นทั่วโลกอีกด้วย
“อนาคตอุตสาหกรรมการแพทย์ ที่สามารถพัฒนาบริการให้เข้ากับยุคดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงกลุ่มไบโอเทคโนโลยี จะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง เพราะแม้ว่าไวรัสโควิด-19 จะรักษาหายได้ ก็อาจมีโรคร้ายอื่นๆ เกิดขึ้นได้อีก ทำให้เชื่อว่าการพัฒนาทางการแพทย์และชีวภาพของมนุษย์จะไม่หยุดอยู่กับที่แน่นอน จึงเป็นโอกาสที่ดีที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้”
หุ้นที่น่าสนใจลำดับถัดมา คือ Inovio Pharmaceuticals (อิโนวิโอ ฟามาเซติคอลส์) แม้ว่าจะเป็นบริษัทขนาดเล็ก ที่มีรายได้รวมเพียง 4 ล้านดอลลาร์ในปีก่อน แต่ปัจจุบันได้เริ่มทดลองวัคซีนเฟสแรกเรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะรายงานความคืบหน้าได้เร็วๆ นี้ จึงมีผลต่อราคาหุ้นที่มีโอกาสปรับขึ้นได้ โดยล่าสุดราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 255% จากต้นปี และปรับตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดในปีนี้กว่า 100%
นอกจากนี้ มองว่ายักษ์ใหญ่ Johnson & Johnson (จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน) เป็นหนึ่งในผู้ผลิตวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 มีโอกาสน่าลงทุนเช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเริ่มเข้าสู่การผลิตในเฟสแรกในเดือนกันยายนปีนี้ ล่าช้ากว่า Moderna และ Inovio แต่บริษัทมีความได้เปรียบในแง่ของกำลังการผลิตยา โดยคาดว่าจะผลิตได้สูงถึง 900 ล้าน Dose ในปี 2564
ด้านนายปุณยวีร์ จันทรขจร นักลงทุน และวิทยากรด้านการลงทุนที่ลงทุนทั้งในไทยและต่างประเทศ ทั้งหุ้น ค่าเงิน และสินค้าทางการเงินมากมาย กล่าวว่า ในจังหวะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกเต็มไปด้วยความกังวล และตลาดหุ้นดาวโจนส์ร่วงลงเกือบ 40% ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน กลับมีหุ้นบางตัวในตลาด NASDAQ ที่กำลังทำจุดสูงสุดใหม่ ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจจะเป็น The Next Big Things ในปี 2563 ในเรื่องของนวัตกรรมเทคโนโลยี เช่น หุ้น NVDA หรือ NVIDIA Corporation (อินวิเดีย คอร์ปอเรชัน) บริษัทเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ผู้ผลิตการ์ดจอ หรือ GPU โดยบริษัทเติบโตไปพร้อมกับอุตสาหกรรมเกมทั่วโลกและได้รับความสนใจอีกครั้งในช่วงปี 2560
ทั้งนี้ ราคาหุ้น NVDA พุ่งขึ้นกว่า 150% ภายในระยะเวลาแค่ปีครึ่ง พร้อมกับราคาบิทคอยน์ ที่ดีดตัวขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ แม้ราคาปัจจุบันที่ 330 ดอลลาร์ เทียบสัดส่วนราคาต่อกำไร (PE Ratio) ที่ 75 เท่า อาจจะดูแพงในระดับหนึ่ง แต่หากพิจารณาปัจจัยพื้นฐานบริษัทมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ล่าสุดปี 2562 มีกระแสเงินสดในมือเฉลี่ยปีละ 4,500 ล้านดอลลาร์ เท่ากับปริมาณหนี้สินทั้งหมด จึงมีความสามารถในการชำระหนี้ด้วยเงินสดภายในหนึ่งปี ถือว่ามีภูมิคุ้มกันด้านการชำระหนี้ที่ดี และ NVIDIA ยังเป็นบริษัทใหญ่เป็นอันดับสองของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ มีมูลค่าตลาดราวๆ 2 แสนล้านดอลลาร์ และแผนงานในอนาคตจะมุ่งสู่การเป็นบริษัทที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ Artificial Intelligent หรือ AI ที่จะเข้าไปอยู่ในทุกภาคส่วนของทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่ศิลปะ ดนตรี การขนส่ง การแพทย์ จนไปถึงอุตสาหกรรมอวกาศ ฯลฯ จึงนับว่า NVIDIA เป็นส่วนเชื่อมต่อสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมในหลายๆ แขนงเติบโตขึ้นในอัตราเร่งอย่างมีนัยยะ
“ผมมองโอกาสการลงทุนไม่ได้จำกัดอยู่แต่หุ้นไทยเท่านั้น โอกาสการลงทุนมีอยู่ทั่วโลก ยิ่งในปัจจับันข้อจำกัดเรื่องการลงทุนระหว่างประเทศน้อยลง จึงเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะแสวงหาผลตอบแทนการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า”