“แสนสิริ”ชูกลยุทธ์”Transformation” ขับเคลื่อนองค์กรสู่ผู้นำ”เทคโนโลยี”ที่อยู่อาศัย
นับเป็นอีกก้าวการเปลี่ยนแปลงองค์กรครั้งใหญ่ของ“แสนสิริ” ภายใต้กลยุทธ์“sansiri Transformation” 4 ด้านหลัก ได้แก่ การบริหารการเงิน – การบริหารการพัฒนาโครงการ –การบริหารกลยุทธ์การตลาด และการบริหารด้านเทคโนโลยี เพื่อผลักดันสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ ด้านเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทุกแง่มุมของการอยู่อาศัย
นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในการขับเคลื่อนองค์กร จะใช้กลยุทธ์ “Sansiri Transformation” เป็นการปรับรูปแบบการบริหารองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ 4 ด้าน ประกอบด้วย การบริหารการเงิน การบริหารการพัฒนาโครงการ การบริหารกลยุทธ์การตลาด และการบริหารด้านเทคโนโลยี ทั้งนี้ เป็นการปรับตัวเพื่อให้ก้าวทันความเปลี่ยนแปลง และเสริมสร้างความแข็งแกร่ง โดยมีการจัดทัพทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์แต่ละด้าน ซึ่งจะมาช่วยบริหารสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำด้านเทคโนโลยีทุกมิติของการอยู่อาศัย
“มองว่าหากตลาดอสังหาฯไม่รับมือกับความเปลี่ยนแปลง หรือปรับตัวให้ก้าวทันเทคโนโลยี ก็จะเป็นเหมือนไดโนเสาร์ที่จะค่อยๆ สูญหายไป อย่างไรก็ตามมองว่าในอนาคตแอร์บีเอ็นบี หรือธุรกิจให้บริการด้านที่พักอาศัยจะได้รับความนิยมในไทยมากขึ้น แต่ในขณะนี้ยังติดปัญหาเรื่องกฎหมาย ก็ต้องปรับตัวในเรื่องนี้” นายอภิชาติกล่าว
สำหรับยอดขายรวมของบริษัทในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาทำได้ 15,000 ล้านบาท หรือเติบโต 20% จากครึ่งปีแรกของปีก่อน ที่มียอดขายอยู่ที่ 14,800 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งในการผลักดันยอดขายในครึ่งปีแรกมากจากการเปิดโครงการใหม่จำนวน 3 โครงการ 5,200 ล้านบาท ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจาก
ลูกค้า อีกทั้งบริษัทยังได้ทำการปิดการขายโครงการอื่นๆทั่งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดที่อยู่ระหว่างขายในหลายโครงการ นอกจากนี้ยังได้ยอดขายจากลูกค้าชาวต่างชาติในครึ่งปีแรกทำได้ 3,700 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายจากลูกค้าชาวต่างชาติในปีนี้ที่ 8,000 ล้านบาท โดยปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ยอดขายในครึ่งปี
แรกเติบโตได้ 20% จากช่วงเดืยวกันของปีก่อน และยังมั่นใจว่ายอดขายรวมในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ 36,000 ล้านบาท
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แผนในช่วงครึ่งปีหลังจะเปิดตัวโครงการใหม่อีก 16โครงการ มูลค่ารวม 39,260 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 7 โครงการ มูลค่ารวม 22,350 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 16,150 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ 1 โครงการ มูลค่า 760 ล้านบาท และในปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ประมาณ 37,500 ล้านบาท ที่จะสามารถรองรับการรับรู้รายได้ไปถึงอีก 4 ปีข้างหน้า
ในส่วนของแผนพัฒนาโครงการที่ได้ร่วมทุนกับกับกลุ่มบีทีเอส ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีการพัฒนาไปแล้ว 8 โครงการ มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท และในปี 2560 นี้ บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการร่วมทุน 4 โครงการ มูลค่า 11,900 ล้านบาท โดยในครึ่งปีแรกได้พัฒนาไปแล้ว 1 โครงการ มูลค่า 1,900 ล้านบาท ส่วนครึ่งปีหลังมีแผนพัฒนาโครงการเพิ่มอีกจำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม. บริษัทยังมองหาโอกาสในการหาพันธมิตรธุรกิจเพิ่มเติม เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในอนาคต
นอกจากนี้บริษัทมีแผนรุกตลาดระดับบน โดยมีแผนเปิดตัว”บ้านแสนสิริ”เป็นโครงการระดับซุปเปอร์ไฮเอนด์ของแบรนด์บ้านเดี่ยว ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวได้ภายในไตรมาส 4 นี้ และยังมีการต่อยอดการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์”เฮาส์”(HAUS)เป็นคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ท
ขณะเดียวกันบริษัทยังเดินหน้าบุกตลาดต่างประเทศมากขึ้นไนช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อรักษาความเป็นผู้นำบริษัทอสังหาริทรัพย์ไทยที่ลูกค้าต่างชาติให้การยอมรับ ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน โดยในช่วงครึ่งปีหลังวางเป้าหมายจากลูกค้าต่างชาติอยู่ที่ 4,330 ล้านบาท พร้อมกับเตรียมเปิดสำนักงานขายในจีนเพิ่มอีก 3 เมือง คือ เซี่ยงไฮ้ เซิ่นเจิ้น และกวางโจว ซึ่งเป็นการเปิดสำนักงานขายเพิ่มจากปัจจุบันมีสำนักงานขายอยู่ที่สิงคโปร์และปักกิ่ง เพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าทั้งการขายและบริการหลังการขาย
ส่วนการลงทุนใน “สิริ เวนเจอร์” ซึ่งเป็นการลงทุนด้าน Property Technology อย่างเต็มรูปแบบเป็นรายแรกของไทย ในช่วงครึ่งปีหลังตั้งงบลงทุน 500 ล้านบาท โดยจะนำไปลงทุนนวัตกรรมใหม่ๆเข้ามา ซึ่งอยู่ระหว่างการมองนวัตกรรมที่น่าสนใจเข้าไปลงทุน โดยล่าสุดบริษัทได้ลงทุนกว่า 3 ล้านบาท ในการพัฒนาหุ่นยนต์ “แสนดี” หุ่นยนต์ที่สามารถส่งอาหารหรือบริการส่งของให้กับลูกบ้าน โดยจะเริ่มในโครงการ”เดอะ โมนูเม้นต์ สนามเป้า” เป็นโครงการแรก และในอนาคตมีแผนนำไปใช้ในโครงการอื่นๆของบริษัทโครงการละ 1 ตัว