แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น และหัวเว่ย ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมพัฒนาระบบนิเวศต้นแบบเพื่อขับเคลื่อนแพล็ตฟอร์ม “สมาร์ทลีฟวิ่ง” ครบวงจร มุ่งมั่นสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้แวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทย
บรรยายภาพ: นางวัลลภา ไตรโสรัส (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) และนายเอเบล เติ้ง (ที่ 2 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง
บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร และ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการระบบโครงสร้างพื้นฐานและโซลูชันไอซีทีชั้นนำ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงเพื่อความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญ และมองหาความเป็นไปได้ในการพัฒนาระบบนิเวศสำหรับสมาร์ทลีฟวิ่งและอาคารอัจฉริยะต้นแบบ ที่จะถูกนำมาใช้งานจริงในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของ AWC เพื่อแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และริเริ่มโครงการด้านอาคารอัจฉริยะ (Smart Building), การบริหารจัดการสินทรัพย์อัจฉริยะ (Smart Asset Management), ธุรกิจโรงแรมและการค้าปลีกอัจฉริยะ (Smart Hospitality and Retail), สมาร์ทแคมปัสและสมาร์ทลีฟวิ่ง (Smart Campus and Living) รวมไปถึงการเชื่อมต่อเชิงอัจฉริยะ (Intelligent Connectivity) ต่าง ๆ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของ AWC ในการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ในการเสริมสร้างศักยภาพให้กับธุรกิจเพื่อสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าอย่างยั่งยืน
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “AWC มีความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเสริมความก้าวหน้าให้กับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทย ด้วยการมุ่งมั่นในการศึกษา แสวงหา และนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการพัฒนาโครงการคุณภาพใหม่ ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับหัวเว่ย พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ของเรา ในการเดินหน้าพันธกิจการมุ่งสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า ด้วยความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญด้านนวัตกรรม และมองหาความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีที่แข็งแกร่งร่วมกัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ สอดคล้องกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้คน ในโลกยุคดิจิทัล”
“ความร่วมมือครั้งนี้ นับเป็นการสร้างคุณค่าที่เหนือระดับให้แก่ลูกค้า ตลอดจนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวม พร้อมกับเสริมทัพองค์กรเพื่อพัฒนาโมเดลธุรกิจดิจิทัล วางแผนจัดหาบริการใหม่ ๆ เพื่อส่งเสริมให้สินทรัพย์ของบริษัทมีการเติบโตอย่างมีประสิทธิผลและยั่งยืน โดย AWC เชื่อมั่นว่าด้วยสมาร์ทดีไวซ์และโซลูชันระดับชั้นนำจะช่วยให้ AWC สามารถพัฒนาโครงสร้างดิจิทัลได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ ท่ามกลางยุคดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงก้าวหน้าอยู่ตลอดเวลา AWC ยังคงไม่หยุดนิ่งที่จะศึกษา แสวงหา และพัฒนานวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของผู้คน และร่วมสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ของไทยอย่างยั่งยืน”
“การผนึกกำลังกับ AWC ในวันนี้นับเป็นความสำเร็จก้าวสำคัญของหัวเว่ย ประเทศไทย” นายเอเบล เติ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว “หัวเว่ย เดินหน้าเสาะหากลยุทธ์ที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของภาครัฐและเอกชนของประเทศไทย บริษัทมีเป้าหมายแน่วแน่ในการช่วยปูทางสู่การพัฒนาด้านดิจิทัลของไทยในอนาคต เรามั่นใจว่าการสนับสนุนด้านเทคโนโลยีและการแบ่งปันองค์ความรู้ด้านไอซีทีที่เรามอบให้แก่ AWC จะช่วยเสริมศักยภาพให้โรงแรม ธุรกิจค้าปลีก และอาคารสำนักงาน รวมไปถึงโครงการมิกซ์ยูสรูปแบบต่าง ๆ ของ AWC พร้อมช่วยขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจในแบบสมาร์ทที่มีประสิทธิภาพสูงสุด”
ภายใต้บันทึกข้อตกลงนี้ AWC และหัวเว่ยจะร่วมกันแลกปลี่ยนความเชี่ยวชาญ และมองหาความเป็นไปได้ในการพัฒนาและศึกษานวัตกรรมที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตของผู้คน รวมถึงยกระดับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ดียิ่งขึ้นในอนาคต อาทิ โซลูชันที่ขับเคลื่อนโดยเทคโนโลยี 5G, เทคโนโลยีแอคเซสพอยท์ Wi-Fi 6 ความเร็วระดับอัลตร้าไฮสปีด, โมดูล IoT, อุปกรณ์เชื่อมต่ออัจฉริยะ, พื้นที่เก็บข้อมูลในคลาวด์ เป็นต้น นอกจากการนำเสนอแพลตฟอร์มและโซลูชันที่พร้อมให้บริการอยู่แล้ว หัวเว่ยยังนำความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาร่วมพัฒนานวัตกรรมที่ปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการมาประยุกต์ใช้งานจริงในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของโครงการต่างๆ ของ AWC ทั้งในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและบริการ และกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ ทั้งศูนย์การค้า สถานที่ท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์ และอาคารสำนักงาน เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้มาใช้บริการ และเพิ่มประสิทธิภาพด้านการดำเนินงานให้กับธุรกิจของ AWC ซึ่งจะช่วยเร่งกระบวนการปรับเปลี่ยนองค์กรให้ก้าวไปสู่การเป็นดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบได้ในอนาคต