คลื่นลูกใหม่..มองตลาดอสังหาฯ : ‘ลลิล พร็อพเพอร์ตี้’ มั่นใจเศรษฐกิจโลก-ในประเทศดีขึ้น-หนี้ครัวเรือนลด

คลื่นลูกใหม่..มองตลาดอสังหาฯ : ‘ลลิล พร็อพเพอร์ตี้’

มั่นใจเศรษฐกิจโลก-ในประเทศดีขึ้น-หนี้ครัวเรือนลด

มั่นใจเศรษฐกิจ

นายชูรัชฏร์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN)  เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ คาดจะขยายตัวได้ 3-5% จากปัจจัยบวกภาวะเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ตัวเลขอัตราการว่างงานลดลงเหลือ 4 % ส่วนสหภาพยุโรปเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตสูง รวมถึงประเทศจีน ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออกของประเทศไทย ที่พึ่งพิงการส่งออกถึง 60-65% ขณะที่เศรษฐกิจของไทย ขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงภาครัฐเร่งเบิกจ่ายโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยเรียกความเชื่อมั่นและดึงการลงทุนจากภาคเอกชนได้ อีกทั้งกำลังซื้อเริ่มฟื้น ภาคการเกษตรและส่งออกมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนเริ่มลดลงต่ำกว่า 80 % จากในช่วง 2-3 ปีอยู่ระดับสูง 82-83% แต่ยังต้องติดตามเพราะตัวเลขที่ยังคงอยู่ในระดับสูง

ศึกษาตลาดให้ลึก

สำหรับการประเมินภาวะอุตสาหกรรม ชูรัชฎร์ ยอมรับว่าตลาดอสังหาฯ ไม่ได้เติบโตในทุกตลาด ตลาดบ้าน/คอนโด มีความแตกต่างกัน โดยมองว่าตลาดบ้านแนวราบเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อแท้จริง (เรียลดีมานด์) ในตลาดระดับกลาง–ล่าง นี้ยังขยายตัวได้ เพราะความจำเป็นด้านที่อยู่อาศัยก็ยังคงมีดีมานต์ ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมปีนี้คาดว่าเติบโตติดลบ เพราะสินค้าที่ออกมาในตลาดมีจำนวนมาก ผู้ประกอบการอาจเหนื่อยหน่อยในการขยับขยายตัว แต่เชื่อมั่นว่าในทุกตลาดถ้าเราศึกษาให้ดีก็จะมีทางไปได้ แต่ขึ้นอยู่กับจังหวะที่ไม่เหมือนกัน

ปั้นแบรนด์  LALIN TOWN

สำหรับแผนงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลัง ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ มีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 3-4 โครงการ มูลค่าโครงรวม 2,000 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพ เช่น เลียบทางด่วนฝั่งกรุงเทพฯ ตะวันตก เป็นต้น ในจำนวนนี้จะพัฒนาในรูปแบบ ลลิล ทาวน์ เป็นโครงการแนวราบ 1-2โครงการ ขนาดพื้นที่ 40 ไร่ขึ้นไป เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีทั้งบ้านเดี่ยว 2-5 ล้านบาท และทาวน์โฮม 2-2.5 ล้านบาท ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ที่ผ่านมา ได้เปิดตัวโครงการในแบรนด์ ลลิล ทาว์น  ไปแล้ว 5 โครงการใน 5 ทำเล มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท

รักษาระดับหนี้สินต่อทุนได้ด้

ด้านการเปิดตัวโครงการใหม่เป็นไปตามแผนที่ปีนี้จะเปิด 6-8 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้าบาท โดยในครึ่งปีแรกที่บริษัทเปิดตัวไปแล้ว 4โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2,700 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายรวมปีนี้ 3,650 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 3,100 ล้านบาท อัตราเติบโต 15%  โดยมีความตั้งใจที่จะรักษาระดับหนี้สินต่อทุน (DE) ให้อยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม ณ สิ้นไตรมาสสองนี้ บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) อยู่ที่ 0.84 เท่า ปรับลดลงเล็กน้อยจาก ณ สิ้นไตรมาสแรก ซึ่งอยู่ที่ 0.86 เท่า  ทั้งนี้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนดังกล่าว นับว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ราว 1.4 เท่า

เติบโตตามเป้า

ส่วนผลประกอบการ 6 เดือนแรก มียอดรับรู้รายได้รวม 1,545 ล้านบาท โตราว 19% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 และมีกำไรสุทธิที่ 285 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนราว 17% ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ 1,000 ล้านบาทซึ่งจะรับรู้ในปีนี้ ขณะที่มีสินค้าพร้อมขาย 30 โครงการมูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท