“ประสพศักดิ์ ศิริโสภณา” ซีอีโอ PEACE ประสบการณ์สูงกว่า 3 ทศวรรษ สร้างความโดดเด่นด้วยแนวคิด “สร้างบ้านคุณภาพดีที่สุดสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่มในราคาที่เหมาะสม”

“ประสพศักดิ์ ศิริโสภณา” ซีอีโอ PEACE ประสบการณ์สูงกว่า 3 ทศวรรษ
สร้างความโดดเด่นด้วยแนวคิด “สร้างบ้านคุณภาพดีที่สุดสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่มในราคาที่เหมาะสม”
 

นายประสพศักดิ์ ศิริโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACE กล่าวว่า การจะบริหารธุรกิจให้เติบโตและสร้างผลกำไรได้ต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่มีการบริหารงานแบบมืออาชีพ ด้วยจุดเริ่มต้นของ บมจ.พีซแอนด์ลีฟวิ่ง ในการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่
18 พฤษภาคม 2532 ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แนวราบเพื่อขาย โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาโครงการประเภทรีสอร์ท ที่จังหวัดกาญจนบุรี ภายใต้ชื่อโครงการ “บ้านป่าริมธาร” และในเวลาต่อมาได้เล็งเห็นโอกาสและความต้องซื้อบ้านของลูกค้าในจังหวัดระยอง จึงมีการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรร ประเภทบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ ที่จังหวัดระยอง ภายใต้ชื่อโครงการ “บ้านลมทะเล”

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ขยายตลาดเข้ามาพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล นับตั้งแต่ปี 2545 เป็นต้นมา ภายใต้แบรนด์ “The Glamor” “Cordiz” และ “Cher” และแบรนด์ใหม่ล่าสุด คือ “Cherene” และ “CHEREA VICINITY” ทำให้นับจากอดีตจนถึงปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการมาแล้วรวมทั้งสิ้น 25 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 16,569 ล้านบาท

PEACE ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “การสร้างบ้านที่มีคุณภาพดีที่สุดสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่ม ในราคาที่เหมาะสม” โดยให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพในทุกขั้นตอน มีการวางรากฐานนิติบุคคลหมู่บ้านให้แก่ลูกบ้าน และมีบริการหลังการขายเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกบ้าน จากแนวคิดดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีความน่าเชื่อถือ มีผลประกอบการสม่ำเสมอ และมีการบริหารบ้านซึ่งเป็นสินค้าคงเหลือเป็นอย่างดี จึงสามารถขายบ้านและปิดโครงการที่ผ่านมาได้ครบทั้งหมด

รีเสิร์ชคีย์ซักเซสรักษากำไรขั้นต้น 35-40%

ประสพศักดิ์ ซีอีโอ PEACE กล่าวว่า การที่บริษัทฯ จะเลือกพื้นที่และตัดสินใจพัฒนาโครงการในแต่ละครั้ง ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะทีมการตลาดของบริษัทฯ จะต้องมีการสำรวจข้อมูลผู้บริโภคก่อนเริ่มพัฒนาโครงการ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมผู้บริโภค กำลังซื้อ รูปแบบโครงการที่ต้องการ คู่แข่งที่สำคัญ เป็นต้น ทำให้ PEACE สามารถใช้ข้อมูลในการวิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ให้สามารถแข่งขันกับผู้ประกอบการอสังหาฯ รายอื่นๆ ได้ ทั้งรูปแบบโครงการ ราคา และความเหมาะสมของบ้านในแต่ละแบบ และบริษัทฯ จึงมีการเจรจาการซื้อที่ดิน และดำเนินการพัฒนาโครงการต่อไป ดังนั้น บริษัทฯ จึงสามารถบริหารต้นทุนและกำไรขั้นต้นได้เป็นอย่างดี โดยตลอด 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับร้อยละ 35 – 40

อีกทั้ง แนวทางการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ มักจะมีการกำหนดแนวทางและระยะเวลาในการพัฒนาโครงการที่ชัดเจน และสามารถดำเนินการตามแผนดังกล่าวได้ตามเป้าหมาย โดย มีแนวทางในการเริ่มเปิดขายโครงการภายใน 15 – 18 เดือน นับจากวันที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินสำหรับการพัฒนา และมีเป้าหมายในการปิดโครงการ หรือการโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้าร้อยละ 100 ภายใน 2 – 3 ปี (สำหรับโครงการไม่เกิน 200 ยูนิต) และภายใน 3 – 5 ปี (สำหรับโครงการเกิน 200 ยูนิต)

นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกใช้สื่อในการประชาสัมพันธ์รูปแบบใหม่ให้สอดคล้องกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้เป็นอย่างดี เช่น สื่อออนไลน์ Facebook บทความในเว็บไซต์เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในวงกว้าง และกลุ่มคน
รุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  เรียกได้ว่า PEACE ประสบความสำเร็จจากการปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้สื่อเป็นอย่างมาก ทำให้ได้รับผลตอบรับจากการใช้สื่อออนไลน์เป็นอย่างดี โดยสะท้อนจากยอดขายของโครงการปัจจุบัน ที่เกิดจากการรับรู้ของลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์เป็นส่วนมาก ทำให้บ้านทุกหลังของบริษัทฯ สามารถปิดการขายได้ทั้งหมด ไม่มีเหลือค้างสต็อก

ค้นหานวัตกรรมใหม่สร้างความพึงพอใจ

บริษัทฯ ไม่หยุดยั้งที่จะพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป และสร้างความพึงพอใจแก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างดีที่สุด โดยที่ผ่านมาได้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมา ดังนี้

1) การพัฒนาและออกแบบบ้านที่ทันสมัยด้วยระบบสมาร์ทโฮม (Smart Home) ที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ และระบบภายในบ้าน ผ่านแอพพลิเคชั่นบนมือถือเพื่อให้สอดคล้องกับ lifestyle ของลูกค้าในปัจจุบัน รวมถึงสร้างความสะดวกสบายและความปลอดภัยสําหรับผู้อาศัย

2) การพัฒนาระบบบริหารนิติบุคคลบ้านจัดสรรแบบ Smart Community ที่ช่วยให้ลูกบ้านสามารถจัดการการซ่อมแซมบ้านหรือแจ้งปัญหาต่างๆ ได้ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ

3) การศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยการนำเทคโนโลยีการก่อสร้างแบบใหม่มาใช้ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการการก่อสร้างและบริหารจัดการต้นทุนได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์บ้านของบริษัทฯ ให้มีความแตกต่างและสามารถแข่งขันได้ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จากการเลือกวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในแต่ละโครงการ

มุ่งเติบโตไม่หยุดผ่านการระดมทุนจดทะเบียนใน SET

ล่าสุด บมจ.พีซแอนด์ลีฟวิ่ง อยู่ระหว่างการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบัน มีทุนจดทะเบียน 420 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท โดยมีทุนเรียกชำระแล้ว 336 ล้านบาท คิดเป็นหุ้นสามัญจำนวน 336 ล้านหุ้น และจะเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 84 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.00 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมด ซึ่งคาดว่าจะนำ PEACE จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในไตรมาสแรกของปี 2565 นี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ ภายหลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง ไปใช้เพื่อเป็นเงินลงทุนซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัทฯ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

แม้ว่า PEACE จะเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์แนวราบขนาดกลาง แต่เรียกได้ว่ามีความสามารถที่จะก้าวเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบชั้นนำของไทยได้อย่างแน่นอน ด้วยความจริงใจในการพัฒนาโครงการ การบริหารงานอย่างมืออาชีพ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้ PEACE สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้ในระดับร้อยละ 35 – 40 สะท้อนผลประกอบการณ์ที่เติบโตต่อเนื่องในทุกปี เชื่อมั่นว่าหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว จะเป็นหนึ่งในหุ้นอสังหาฯ ที่น่าจับตามอง