เผยหมัดเด็ด ”อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์”
ฮุกตรงเป้าดันยอดขายฝ่าวิกฤติอสังหาฯ
ในวันที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่บูมเหมือนยุคก่อน ที่เปิดตัวกี่โครงการก็ขายได้ โดยเฉพาะคนหวังเก็งกำไรไม่ใช่ยุคที่จะมีกำไรจากการขายใบจอง เมื่อทางเลือกคอนโดมีจำนวนมากกว่าความต้องการซื้อในตลาด จึงไม่ใช่เรื่องเกินคาดหากนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Developer) ทั้งรายเล็กรายใหญ่จะต้องตกอยู่ในภาวะพลาดเป้าหมาย ทั้งยอดขายและการเปิดตัวโครงการ
(2 ผู้บริหารหนุ่ม อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ คนรุ่นใหม่ ที่ประสบการณ์ไม่ใหม่ในวงการอสังหาริมทรัพย์)
ท่ามกลางวิกฤติและความเสี่ยง นักพัฒนาอสังหาฯ หน้าใหม่”บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด บริษัทที่เกิดจากการรวมตัวของ 2 สิงห์ของมือขาย และนักลงทุน ผู้อยู่ในแวดวงอสังหาฯมากว่า 15 ปีผู้ผันตัวเองสู่ นักพัฒนาฯ ขณะที่คุณเอ็ด-ชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อัลติดจูด ดีเวลลอปเม้นท์ มือขายแห่งเอเจนซี่อสังหาริมทรัพย์ ขณะที่คุณปิง-ขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย นักลงทุนผู้ช่ำชอง ที่เริ่มก่อตั้งบริษัทขึ้นเมื่อปี 2557 และตั้งเป้าที่จะพาตัวเองเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายใน 3-4 ปี (2564)
ซีอีโอ อัลติจูด ชยพล ฉายภาพของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2562 ในมุมมองของเขานั้นมองไม่ต่างกันกับกับทุกคน ที่ตลาดอยู่ในภาวะขาลง เมื่อเริ่มมีการเปิดโครงการมากในปีที่ผ่านมาจนเกินความต้องการ(ดีมานด์) จึงมีหลายรายเริ่มชะลอการเปิดตัวโครงการ ตลาดจึงเข้าสู่วัฎจักรที่ตลาดเป็นของผู้ซื้อ คนซื้อมีทางเลือกที่จะเลือกสินค้าที่ดีที่สุดและราคาที่คุ้มค่าที่สุด จึงทำให้ปีนี้มีคอนโดมิเนียมเปิดตัวใหม่ลดลง 30% ขณะที่ภาพรวมทั้งแนวราบและคอนโดฯเปิดตัวใหม่ลดลง 13%
สภาพตลาดในปีนี้จึงถือเป็นปีปราบเซียน ทั้งผู้เล่นยักษ์ใหญ่ รายเล็ก และหน้าใหม่ ต่างเข้ามาแย่งชิงสัดส่วนการขายที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยในตลาด เขาประเมินว่าหลังจากนี้และต่อไปอีก 3 ปีข้างหน้า นักพัฒนาอสังหาฯ ที่พัฒนาสินค้ามาขายในตลาดจะถูกแยกเป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย 1.พัฒนาโครงการมาแล้วขายไม่ได้สัดส่วน 30% เพราะไม่ตอบโจทย์ลูกค้า อาจจะต้องเล่นสงครามราคาในภายหลังแทนแบกสต็อกคงค้าง 2.กลุ่มที่พัฒนาโครงการแล้วขายได้สัดส่วน 30% ตลาดกลุ่มนี้เป็นเหมือนยอดปิรามิดที่นักอสังหาฯ ต่างปรารถนาเข้าไปชิงเค้ก 3.กลุ่มที่ขายตามสภาวะตลาด สัดส่วน 40%
“อสังหาฯ มีการแข่งขันสูงเหมือนกันกับสินค้าอื่น ยุคที่รถไฟฟ้าฯ มีการขยายตัว เป็นช่วงแข่งขันกันพัฒนาโครงการไปคู่กับรถไฟฟ้า เพื่อกอบโกยจากสภาวะตลาดขาขึ้น แต่ตอนนี้สภาพตลาดหดตัว ความต้องการของตลาดก็น้อยลง ฉะนั้นการแข่งขันจึงสูงขึ้น ผู้ที่จะยืนหยัดอยู่ได้ในระยะยาวคือดีเวลลอปเปอร์ที่เร่งพัฒนาสินค้าและบริการ”
เขากล่าวถึงผลงานหลังจากเริ่มต้นเข้าสู่ถนนนักพัฒนาอสังหาฯเต็มตัว โดยก่อตั้งบริษัท อัลติจูด ตั้งแต่ปี 2561 โดยในปี 2562 แม้ตลาดจะเข้าสู่ภาวะขาลง แต่สิ่งที่วางแผนไว้ยังคงเป็นไปตามแผน นั่นคือเปิดตัวโครงการใหม่รวมในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีมูลค่ากว่า 5,862 ล้านบาท จำนวนรวม 7 โครงการ อาทิ อัลติจูด ยูนิคอร์น, อัลติจูด ซิมโฟนี และพรูฟ คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางแผนไว้คือมีการเปิดตัวใหม่มูลค่า 7,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี ส่วนยอดขาย 2,700 ล้านบาท เติบโตถึง 300% จากเดิม 700-800 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งปัจจุบันยอดขายถือว่าติดอันดับ 1 ใน 20 ธุรกิจอสังหาฯ บนการตั้งเป้าหมายอันท้าทายที่จะก้าวไปสู่ อันดับท็อป 10 ภายใน 10 ปีข้างหน้า
“การเปิดตัวลดลงทั้งแนวราบและคอนโดฯ ทำให้มีทางเลือกในตลาดน้อยเพราะสินค้าเหลือขายในตลาดมากพอสมควร ถือเป็นโอกาสของธุรกิจอัลติจูด หากมีการพัฒนาสินค้าตอบโจทย์คนยุคนี้ จึงสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 300% หรือมูลค่า 2,700 ล้านบาท จากปีก่อนแค่ 7-800 ล้านบาท”
ผลงานตัวเลขที่เกินเป้าหมายในวันนี้ไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เกิดจากการทำการบ้านมาอย่างหนักในการใช้ข้อมูล เพื่อวิเคราะห์ความต้องการส่วนลึก (Insight) ผู้บริโภค โดยพิจารณาจากข้อมูลมหาศาล (Big Data) ซึ่งวิเคราะห์ในเชิงพฤติกรรมและความสนใจ เพื่อทำการตลาดตอบโจทย์เฉพาะบุคคล (Personalized marketing) ตอบสนองการใช้ชีวิตการอยู่อาศัย ไลฟ์สไตลชีวิต และการทำงาน รวมถึงการพักผ่อน
“Personalize Marketing หรือการตลาดแบบรู้ใจ เลือกจับกลุ่มลูกค้าย่อยๆ ในยุคGen Me ที่ทุกคนสนใจตัวเอง ในแต่ละกลุ่มย่อยทั้งGenx, GenY และ Gen Zทุกรายต่างมีความสนใจเฉพาะตัว จึงออกแบบสิ่งอำนวยความสะดวกในคอนโด (Facilities) ให้แตกต่างทั่วไป (Rare items)เช่น ห้องE-sport เพื่อตอบสนองกลุ่มรุ่นใหม่ที่แข่งเกมที่ได้รับการยอมรับมากขึ้น , หรือมีบาร์ สำหรับแฮงค์เอาท์ รวมถึงการมี หรือโครงการรอัลติจูด ยูนิคอร์น พัฒนาพื้นที่ทำงาน (Co-working Space)สำหรับการเป็นสตาร์ทอัพ รวมถึงรองรับกลุ่มอาชีพคนยุคใหม่ เช่น ค้าขายออนไลน์ และฟรีแลนซ์”
สิ่งที่เอ็ด-ชยพลต้องการเสนอแนให้รัฐบาลพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ ให้เป็นฟันเฟืองในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มองธุรกิจอสังหาฯ ที่หากรวบรวมสินทรัพย์ทั้งภาครัฐ เอกชน ที่คาดว่าจะสูงกว่ามูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หากทำให้มีมูลค่าเพิ่มจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตของGDP ดังนั้นจึงควรมองอสังหาฯเป็นความมั่งคั่งของประเทศ (Wealth) ที่ใช้เป็นเครื่องมือในการแข่งขันทางเศรษฐกิจได้ ผ่านการพัฒนาอสังหาฯให้มีการเติบโตเพื่อแข่งขันกับต่างประเทศ และอีกด้านคือการที่ภาครัฐควรหามาตรการกระตุ้นให้ผู้ที่มีเงินออมฯ นำมาลงทุนซื้ออสังหาฯ ผ่านมาตรการจูงใจด้วยการลดหย่อนภาษี ที่จะสร้างโอกาสในการดึงเงินออมเข้าสู่ธุรกิจอสังหาฯ ที่มีโอกาสในการเก็บภาษีและการพัฒนาด้านอื่น แทนการกู้เงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย
“รัฐบาลช่วยได้ อย่างเช่น ลดดอกเบี้ย 0% 3 ปีแรกโดยที่รัฐบาลอาจจะออกพันธบัตรมา แล้วเอาตรงนี้ไปชดเชย อย่างทุกวันนี้รัฐบาลก็สนับสนุนเกษตรกรทุกปี เพื่อให้การกสิกรรมไม่ขาดทุน เหมือนกัน ถ้าเราสนับสนุนให้คนสามารถซื้อบ้านได้ด้วยดอกเบี้ยที่ต่ำลงให้เขาผ่อนน้อยลง และได้ครอบครองอสังหาฯ ได้ แล้วผ่อนเงินต้นลดลง หนี้ครัวเรือนก็ลดลง รัฐบาลสามารถเอาประโยชน์จากมูลค่าอสังหาฯ ที่เพิ่มขึ้นมา ส่วนการดึงเงินออมมาซื้ออสังหาฯ เงินจะได้หมุน จะได้ช่วยประเทศ ลงทุนอสังหาฯ โดยรัฐบาลส่งเสริมใครซื้ออสังหาฯ 100% รัฐบาลอาจจะลดภาษีต่างๆ เป็นการอัดฉีดเงินเข้าระบบซึ่งเราต้องใช้เงินจากคนที่มีเงิน ให้พวกเขาเอาเงินออกมาใช้”
ด้านหุ้นส่วนธุรกิจ คุณปิง-ขวัญชัย กล่าวถึงจุดสำคัญที่ทำให้หน้าใหม่อย่าง”อัลติจูด”มียอดขายเติบโตอย่างรวดเร็วภายในเวลาเพียง 2 ปี เพราะการสร้างแบรนด์จนได้รับการยอมรับและรู้จักว่าเขาคือใคร ผลของการสื่อสารและการทำการตลาด “สร้างแบรนด์” อย่างหนักหน่วงทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อพิสูจน์ตัวตน จากไม่รู้จักจนวันนี้อัตราการรู้จัก 7 คนใน 10 คน
เขากล่าวถึงองค์ประกอบของความสำเร็จสำคัญของอัลติจูดมี 3 ด้าน ประกอบด้วย 1.พันธมิตร ที่มีที่ดิน หรือต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศ ทั้งกลุ่มธุรกิจที่นอกตลาดอสังหาฯ รวมถึงต่างชาติที่ต้องการหาผู้ร่วมทุน และ2.พันธมิตรด้านเงินทุน ที่มีการปล่อยกู้ร่วมทุนเพราะมั่นใจในโครงการ และ3.ทีมงานมืออาชีพ ที่มีประสบการณ์ไม่ต่ำกว่า 5 ปีในธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งทุกคนมาจากองค์กรชั้นนำ ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ ที่จะสร้างชื่อเสียงให้หน้าใหม่ได้รับการยอมรับในตลาดอสังหาฯ
