“แมกโนเลีย”ปั้นมิสซ์ยูส ไลฟ์สไตล์โมเดลแรกของโลก ธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกัน

“แมกโนเลีย”ปั้นมิสซ์ยูส ไลฟ์สไตล์โมเดลแรกของโลก ธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกัน

 หากจะบอกว่าเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์มีทิศทางชัดเจน ในฐานะผู้พัฒนาโครงการระดับมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ก็ดูจะไม่เกินจริง สำหรับ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด  (MQDC)  หนึ่งในธุรกิจภายใต้กลุ่มบริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (DTGO) ของทิพาภรณ์ เจียรวนนท์ ทายาทเจ้าสัวเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี)

ระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมาในวงการอสังหาฯ  แมกโนเลีย ได้พัฒนาโครงการมิกซ์ยูส ขนาดใหญ่แล้วหลายโครงการ อาทิ โครงการ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด มูลค่า 11,000 ล้านบาท ในช่วงปี 2556 ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับบริษัท มณียาเรียลตี้ จำกัด โดยกลุ่มแมกโนเลียฯถือหุ้น 75% และกลุ่มมณียาฯถือหุ้น 25% ต่อมาเปิดบิ๊กโปรเจ็กต์ริมน้ำเจ้าพระยา  ซึ่งมีจำนวน 2 อาคารคือ “แมกโนเลียส์ วอเตอร์ฟรอนท์ เรสซิเดนซ์ ณไอคอนสยาม” มูลค่าเกือบ 9,000 ล้านบาท  และ ”เดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ” พัฒนาในนาม บริษัท ดิ ไอคอนสยาม เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด

สิ่งที่น่าติดตามในปีนี้ คือ การประกาศเดินหน้าพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่  “THE FORESTIAS- เดอะ ฟอเรสเทียส์” ปั้นเป็นโปรเจกต์แฟลกชิพ มูลค่ากว่า 90,000  ล้านบาท  ครั้งแรกของโลกที่ธรรมชาติและสังคมอยู่รวมกัน ฃ

โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ พัฒนาภายใต้คอนแซ็ปต์ “Imagine Happiness” ด้วยการสร้างสรรค์ประสบการณ์แบบ Mixed-Use Lifestyle บนพื้นที่กว่า 300 ไร่ บริเวณบางนา-ตราด กม.7 รายล้อมด้วยโครงการที่อยู่อาศัย พื้นที่รีเทล อาคารและสำนักงาน ศูนย์สุขภาพ อาคารนวัตกรรมแห่งอนาคต ผืนผ่าสันทนาการ พื้นที่กิจกรรมสำหรับชุมชน ศูนย์เรียนรู้ และนับเป็นครั้งแรกของการสร้างระบบนิเวศของผืนป่า ที่สมบูรณ์ขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย เพื่อตอบโจทย์ทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของทุกคนในครอบครัว โดยจะเริ่มดำเนินการก่อสร้าง ในปี 2561 และเปิดอย่างเป็นทางการในปี 2565

    วิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า  ปัจจุบันความเจริญด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีนับว่ามีบทบาทความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมทั้งเชื่อมโยงชีวิตและไลฟ์สไตล์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งท่ามกลางความเจริญด้านวัตถุ ได้ส่งสัญญาณถึงปัญหาระดับโลกที่กำลังแทรกซึมและส่งผลกระทบต่อโลก อาทิ ระบบนิเวศธรรมชาติเสื่อมถอย เกิดช่องว่างของสมาชิกในครอบครัว สมาชิกต่างคนต่างใช้ชีวิต จนเกิดเป็นความห่างเหิน การเก็บตัว และอาจนำ ไปสู่ภาวะซึมเศร้า หรือการขยายตัวอย่างรวดเร็วของสังคมผู้สูงอายุ เป็นต้น

“ตอกย้ำดีเอ็นเอของแมกโนเลีย มุ่งมั่นในการสร้างสรรค์และพัฒนาโครงการอสังหาฯ เพื่อลดช่องว่างและสร้างความสุขอย่างยั่งยืน ด้วยการออกแบบโครงการและการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ในการร่วมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม รวมถึงการเพิ่มพื้นที่เพื่อให้คนในครอบครัวทั้ง 4 เจนเนอเรชั่น ได้ใช้เวลาร่วมกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์กันและกัน จนเกิดเป็นคอมมูนิตี้ที่น่าอยู่ขึ้น”

ด้านกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า โครงการดังกล่าวจะเป็นการพัฒนาและก่อสร้างใน 2 ส่วนหลักใช้พื้นที่มากกว่า 600,000 ตารางเมตร คือ 1.ที่อยู่อาศัย สัดส่วนรวม 55% ประกอบด้วย บ้านและคอนโด ภายใต้แบรนด์ “Mulberry Grove Residences” ,คอนโดมิเนียม แบรนด์ “วิสซ์ดอม”และที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ แบรนด์ “Aspen Tree Residences” ซึ่งมีทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม  2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ระยะยาว สัดส่วน 45% ประกอบด้วย ประกอบด้วย อาคารสำนักงาน,โรงแรมระดับ 4 ดาว  ,โรงแรมระดับ 6 ดาว  ,รีเทล ซึ่งมี 3 ส่วนด้วยกันคือ คอมมูนิตี้ เซ็นเตอร์,แฟมิลี่ไลฟ์ เซ็นเตอร์ และวอล์กกิ้ง สตรีท นอกจากนี้ยังมีในส่วนของ เมดิคอล คอมเพล็กซ์ และโรงเรียนอนุบาล

นอกจากนี้ภายในโครงการยังเน้นพื้นที่สีเขียวมากถึง 60% จากพื้นทั้งหมดกว่า 300 ไร่ โดยในส่วนของงานขายจะเริ่มเปิดตัวในปี 2561 และเริ่มดำเนินการก่อสร้างในไตรมาส3 ปี 2562 คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการในปี 2565

จับตาก้าวใหม่ในปี 2561 ของแมกโนเลีย มีแผนที่จะรุกการพัฒนาอสังหาฯไปยังประเทศในแถบภูมิภาคเอเชียด้วย

 

บทความและเรียบเรียงโดย :  กัญสุชญา สุวรรณคร (บรรณาธิการข่าว PropDNA)